Q : อยากทราบวิธีการเลือกเครื่องช่วยฟัง ว่ามีกี่แบบ และแต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร
กิตติศักดิ์ วงศ์อมร
A : ปัจจุบัน เครื่องช่วยฟัง (hearing aid) มี5 แบบ ได้แก่
1. Body aid เครื่องช่วยฟังชนิด body aid เป็นแบบเก่า จะติดตัวเครื่องบริเวณรอบเอว หรือด้านหน้าทรวงอกและมีสายของ earmold มาใส่ที่หูของ ผู้สวมใส่เนื่องจาก earmold (รวมถึงตัวรับหรือลำโพง) แยกจากกันกับตัวเครื่อง (microphone) มีข้อดีคือ เสียงสะท้อน (acoustic feedback) จะลดลง มีขนาดใหญ่ที่สุด ทำให้มีกำลังขยายได้มาก เหมาะใช้กับผู้ที่มีหูตึงมาก หรือหูตึงรุนแรงมาก.
2. Behind-the-ear aid (BTE) สวมใส่บริเวณหลังใบหู มีสายต่อ earmold ใส่เข้าในรูหูใช้ได้กับผู้มีหูตึงน้อย ถึงหูตึงรุนแรง มีขนาดใหญ่รองลงมาจากชนิด body aid ทำให้สามารถใส่วงจรต่างๆ ได้มาก ผู้ป่วยที่มีหูตึงร่วมกับมีน้ำไหลจากหูแบบเรื้อรัง สามารถ ใช้เครื่องช่วยฟังชนิดนี้ได้ และเหมาะกับผู้ป่วยเด็ก เนื่องจากขนาดของหูเด็กยังมีการเปลี่ยนแปลงโตขึ้นตามอายุ สามารถเปลี่ยน earmold ได้ และ earmold ทำความสะอาดได้ง่าย.
3. In-the-ear aid (ITE) ขนาดเล็กลงกว่าชนิด BTE สวมใส่บริเวณ concha ของใบหู ข้อดีคือ ปัจจุบัน เทคโนโลยีทำให้เครื่องมีสมรรถนะสูง โดยที่ตัวเครื่องมีขนาดเล็ก ใส่แล้วดูสวยงามขึ้น ใช้ได้กับผู้ป่วยหูตึงน้อยถึงมาก ข้อด้อยคือ มีขี้หูมาติดตัวเครื่องได้ง่าย.
4. In-the -canal aid (ITC) สวมใส่ในรูหู มีขนาดเล็กที่สุด ทำให้มีกำลังขยายไม่มาก เหมาะกับผู้ป่วยหูตึงน้อย ถึงปานกลางข้อด้อยคือ มีขี้หูมาติดตัวเครื่องได้ง่าย และผู้ป่วยต้องมีรูหูขนาดใหญ่พอที่จะใส่เครื่องได้.
5. Eyeglass aid เป็นเครื่องช่วยฟังที่ประกอบเข้ากับกรอบของแว่นตา มีสายยื่นจากขาของแว่นตา เพื่อใส่ earmold ที่หู เหมาะกับผู้ที่ต้องการใส่แว่นตา ร่วมกับใส่เครื่องช่วยฟัง.
พิบูล วชิรลาภไพฑูรย์ พ.บ. โสต ศอ นาสิกแพทย์
สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี
ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ พ.บ., น.บ.
สาขาวิชาจักษุวิทยา, คณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- อ่าน 2,361 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้