คืนนี้ฝนตกหนัก ห้องแพทย์เวร ไม่มีผู้ป่วยเลย ผู้คนคงหลบฝนอยู่กับบ้านกันหมด ปวดหัวตัวร้อนอย่างไร ก็คงไม่มาหาหมอ ผมมีเวลาว่างพอที่จะอ่านหนังสือพิมพ์เพลิน ๆ ห้าทุ่มครึ่ง อีกครึ่งชั่วโมงผมจะได้กลับไปนอนพัก เพื่อลุกเข้ามาต่อสู้กับโรคภัยนานาชนิดในเช้าวันใหม่
รถอีแต๋นคันหนึ่งวิ่งผ่านพายุฝนมาหน้าตึกอุบัติเหตุ พนักงานเปลเข็นรถนอนไปเทียบ ชาวบ้านกว่าสิบคนบนรถ กุลีกุจอหามผู้ป่วยลงจากรถ ทุกคนตัวเปียกโชก ผมปราดเข้าถึงตัวผู้ป่วย เขาเป็นเด็กหนุ่ม ใบหน้าขาวซีด ตัวสั่นสะท้านด้วยความหนาว หายใจหอบ เขาพยายามจะพูด แต่ไม่ได้ยินเสียง ที่ขาข้างขวามีเสื้อผ้าเก่า ๆ พันหนาเตอะเปียกปอนไปด้วยเลือดผสมน้ำ ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งผมคลำชีพจรใต้คางผู้ป่วย มันเต้นเร็วรัวแผ่วเบามาก ไม่จำเป็นต้องเสียเวลานับ คะเนไดว่าไม่ต่ำกว่านาทีละ 120 ครั้ง“
วัดความดันไม่ได้” ผู้ช่วยพยาบาลบอก
ผู้ป่วยกำลังช็อกเพราะเสียเลือดมาก ทุกวินาทีที่ผ่านไปมีค่ามากสำหรับการช่วยชีวิต
พวกเรารีบให้ผู้ป่วยดมออกซิเจน ให้น้ำเกลือ 2 ขวดพร้อมกันที่แขมทั้ง 2 ข้าง เปิดให้น้ำเกลือไหลเร็วที่สุด เจาะเลือดผู้ป่วยเพื่อตรวจกรุ๊ปเลือด และเตรียมการให้เลือดผู้ป่วยรายนี้ขี้รถจักรยานยนต์ ชนกับรถสิบล้อ มีบาดแผลฉีกขาด เหวอะหวะร่วมกับกระดูกหักบริเวณข้อเข่า ญาติผู้ป่วยใช้เสื้อผ้าพันปิดบาดแผลหลวม ๆ หลาย ๆ ชั้น บริเวณต้นขามีเชือกพลาสติกเส้นเล็ก ๆ รัดแน่นเพื่อห้ามเลือด
แต่เลือดไม่หยุด เพราะเส้นเลือดใหญ่ตรงข้อเข่าขาด เลือดไหลนองตลอดเวลา 2 ชั่วโมงที่บรรทุกผู้ป่วยมาในรถอีแต๋นคันนั้นพยาบาลทำความสะอาดบาดแผล ในขณะที่เลือดหยุดไหลแล้ว เพราะเส้นเลือดใหญ่นั้นมีก้อนเลือดแข็งอุดตัน ประกอบกับความดันเลือดผู้ป่วยต่ำมากจนวัดไม่ได้
ผู้ป่วยหายใจแผ่วลงไปอีก
คลำชีพจรที่ใต้คางไม่ได้
ผมรีบใส่ท่อช่วยหายใจเข้าไปในหลอดลม และเริ่มนวดหัวใจเพื่อช่วยชีวิต ผมสั่งฉีดยาอีกหลายอย่าง ก้าวยืนบนม้าเตี้ย ๆ สองแขนเหยียดตรง วางมือบนกระดูกสันอกผู้ป่วย กดน้ำหนักลงเป็นจังหวะเพื่อปั๊มเลือด เข้าออกจากหัวใจ ในขณะที่ผู้ช่วยพยาบาลบีบถุงลงอัดอากาศเข้าปอด เป็นจังหวะประสานกัน
ทุกคนคร่ำเคร่งกับงานแม้ว่าจะเคยชินกับสภาพเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วนงานใดจะสำคัญต่อพวกเรา มากกว่างานที่เดิมพันด้วยชีวิตมนุษย์เวลาผ่านไปนานเท่าใดผมไม่ได้สังเกต จนแพทย์และพยาบาลเวรดึกที่ขึ้นมาเปลี่ยนเวรเข้ามาช่วยพวกเรา
หมอเวรดึกเอาไฟฉายส่องตาผู้ป่วยทีละข้าง เธอและผมเงยหน้ามาสบตากัน แววตาของเธอแสดงให้ผมเข้าใจได้ดีว่าพวกเราหมดหวังที่จะช่วยชีวิตผู้ป่วยเด็กหนุ่มวัย 17 ปีคนนี้ตาย เพราะช็อกจากการเสียเลือดมาก เขามาถึงโรงพยาบาลช้าเกินไป เราให้เลือดไม่ทันหากจะมีใครสักคนที่มีความรู้ความเข้าใจ ใช้ผ้าพันบาดแผลบริเวณเข่าให้แน่นเพื่อไม่ให้เลือดออกมาก จนหมดตัวเช่นนี้ เขาก็คงจะไม่ตาย
การใช้เชือกรัดต้นขาที่ไม่แน่นพอ กับทำให้เสียเลือดมากขึ้น กล่าวคือ เส้นเลือดแดงซึ่งมีความดันเลือดสูงสามารถไหลผ่านออกไปได้ ในขณะที่เส้นเลือดดำซึ่งความดันเลือดต่ำกว่าไหลกลับเข้าหัวใจไม่ได้ ผู้ป่วยจึงเสียเลือดตลอดเวลานอกจากนั้นการรัดเหนือแผล แบบขันชะเนาะที่แน่นเกินไป อาจทำให้เนื้อเยื่อเกิดภาวะขาดเลือด ทำให้ปวดทุรนทุรายและเกิดภาวะเนื้อเยื่อเน่าตายได้
เมื่อเกิดบาดแผลเลือดออก วิธีที่ดีที่สุดคือ ใช้ผ้าสะอาดที่สุดเท่าที่จะหาได้ พันบริเวณบาดแผลให้แน่นจนเลือดยุดหรือออกเพียงซึม ๆ ถ้ามีกระดูกหักหรือสงสัยว่ามีกระดูกหักร่วมด้วย ให้ดามส่วนนั้นด้วยไม้หรือกระดาษแข็งเพื่อให้เคลื่อนไหวน้อยที่สุดให้ผุ้ป่วยนอนราบศีรษะต่ำ ถ้าผู้ป่วยมีอาการเสียเลือดมาก ได้แก่ อาการสติสัมปชัญญะเปลี่ยนแปลง เหงื่อออก ตัวเย็น ชีพจรเต้นเร็วเบา และหายใจลำบากให้ยกแขนขาส่วนที่บาดเจ็บให้สูงเหนือระดับหัวใจเท่าที่จะทำได้
มีผู้ป่วยอุบัติเหตุจำนวนไม่น้อย ที่เสียชีวิตเนื่องจากเสียเลือดมาก่อน จะมาถึงหมอ
คนกว่าสิบคนที่มาพร้อมกับเด็กหนุ่มคนนี้บนรถเหมือนดูดายให้เลือดไหลออกจากตัวผู้ป่วยจนหมด และสิ้นใจไปต่อหน้าอย่างอเนจอนาถ ทั้ง ๆ ที่เขาสามารถช่วยชีวิตได้ ...
ถ้าเขาจะรู้วิธีห้ามเลือดอย่างถูกต้อง!
- อ่าน 3,806 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้