คาเฟอีน ให้ประโยชน์ หรือโทษ
“คอกาแฟ” ทั้งหลายคงจะเคยผ่านหูผ่านตาคำว่า “คาเฟอีน” กันมาแล้วมากบ้างน้อยบ้าง แต่ก็คงจะไม่สนใจกันจริงจังนักว่า คาเฟอีนนี่มันมีประโยชน์หรือโทษอย่างไรกับเราบ้าง ลองมารู้จักคาเฟอีนเพิ่มขึ้นอีกนิดเป็นอย่างไร
คาเฟอีนนั้นเป็นยากระตุ้นระบบประสาท ทำให้รู้สึกตื่นเต้น บางคนดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนผสมอยู่ อย่างชาหรือกาแฟอาจจะทำให้นอนไม่หลับ แต่บางคนก็หลับได้สบาย
การที่เราไม่รู้สึกง่วงนอนนั้น ไม่ใช่จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายเสมอไป เพราะถ้าเราอ่อนเพลีย ร่างกายต้องการพักผ่อน แต่เราต้องการกระตุ้นให้ตื่น การทำงานก็จะไม่มีประสิทธิภาพเท่ากับการนอนพักผ่อนให้เพียงพอ แล้วค่อยมาทำต่อ การที่เราไม่ยอมพักผ่อนนั้นจะทำให้สุขภาพเสื่อมโทรมเร็วขึ้น การรู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นมานั้นก็ไม่ใช่ฤทธิ์ขงคาเฟอีนโดยตรง แต่เป็นการเอากำลังสำรองมาใช้ ซึ่งเมื่อถึงคราวที่เราต้องอาศัยกำลังสำรองจริงๆ แล้วก็จะไม่มีเหลือ ทำให้ภูมิต้านทานต่ำ ล้มป่วยง่ายและหายยากหรืออาจจะไม่หายเลยก็ได้
คาเฟอีนนับเป็นสิ่งเสพติด เพราะถ้าเรากินทุกวันแล้วงดก็จะมีอาการถอนยาหรืออาการขาดยา คือ ปวดหัว หงุดหงิด กระสับกระส่าย ซึมเศร้า น้ำมูกไหล คลื่นไส้ ง่วงซึม และไม่อยากทำงาน แต่ถ้าได้รับประทานยา หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเข้าไปอาการเหล่านี้ก็จะหายไป
นักดื่มทั้งหลายที่ติดคาเฟอีนแล้ว แต่ไม่มีอาการถอนยาปรากฏชัดเจนนัก เป็นเพราะเขามักจะดื่มถ้วยต่อถ้วยไปเรื่อยๆ ก่อนที่ยาจะหมดฤทธิ์ลง จึงยังไม่เห็นอาการขาดคาเฟอีน บางท่านอาจค้านว่าคาเฟอีนไม่ใช่ยาเสพติด แต่ถ้าท่านเป็นคนดื่มชาหรือกาแฟวันละหลายๆ ถ้วยทุกวันแล้ว ก็ลองหยุดดื่มดูจะเห็นอาการถอนยาปรากฏชัด ในทางกลับกัน ถ้าคุณลองหยุดกินอาหารประจำวันที่มีคาเฟอีน เช่น ไข่ นม ผัก ผลไม้อย่างใดอย่างหนึ่ง รับรองว่าคุณจะไม่มีอาการถอนยาแน่ๆ
นี่แสดงให้เห็นว่า คาเฟอีนเป็นสิ่งเสพติด
คาเฟอีนไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาความรู้สึกเหนื่อยและเพลียของร่างกายเลย การพักผ่อนเท่านั้นที่จะช่วยได้แต่คาเฟอีนจะเป็นตัวกระตุ้นสมองให้เราตื่น ความอ่อนเพลียจึงยังคงอยู่เปรียบเสมือนเรามีปัญหาขาดเงิน ก็แก้โดยการไปกู้เงินเขามาใช้ แล้วลืมว่าเงินนั้นเราก็ต้องจ่ายคืนพร้อมดอกเบี้ยด้วย
การใช้คาเฟอีนเป็นประจำจึงเปรียบเสมือนการหวดแส้ลงบนม้าที่เหนื่อยแล้ว ไม่ช้าก็เร็วม้าจะต้องล้มพับลงไปอย่างแน่นอน เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนโดยธรรมชาติและไม่ธรรมชาติ คือ กาแฟ ชา โคล่า ช็อกโกแลต นอกจากนั้นยังมีคาเฟอีนในเครื่องดื่มประเภทยาชูกำลัง หรือเครื่องดื่มที่ให้พลังงานและยาแก้ปวด
ความเป็นมาของคาเฟอีน
มีเรื่องเล่ากันว่า ในแถบกลุ่มประเทศอาหรับเมื่อนานมาแล้วมีคนเลี้ยงแกะคนหนึ่ง สังเกตเห็นแกะของเขามีอาการกระโดดโลดเต้นคึกคะนองทั้งคืน ไม่ยอมนอนหลังจากที่ได้ไปกินเมล็ดกาแฟเข้า และเมื่อนักบวชคนหนึ่งทราบข่าวนี้ก็ไปขอเมล็ดกาแฟมาต้มกินแก้ง่วง เพราะต้องประกอบพิธีอธิษฐานในโบสถ์ตลอดคืน ทำให้กาแฟเป็นที่นิยมตั้งแต่นั้นมา
ในประเทศจีนก็มีตำนานเล่าว่า ขณะที่จักรพรรดิพระองค์หนึ่งทรงพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้ และบริวารของพระองค์กำลังต้มน้ำอยู่ ก็บังเอิญมีใบชาหล่นลงไปในหม้อน้ำ เมื่อจักรพรรดิดื่มแล้วก็รู้สึกติดใจจึงทรงดื่มชาเป็นประจำ ชาจึงเป็นที่นิยมของชาวจีนทุกคน ตลอดจนชาติต่างๆ ร่วมครึ่งโลกทีเดียว
ปัจจุบันนี้คนไทยเราดื่มกาแฟอย่างแพร่หลายมาก ผู้ใหญ่เกือบทุกคนเคยดื่มกาแฟหรือโอเลี้ยง (กาแฟดำใส่น้ำแข็ง) บางคนดื่มกาแฟแทนอาหารเช้า บางคนก็ดื่มวันละหลายๆ แก้ว เหมือนดื่มน้ำ จึงมีคนไม่น้อยที่ติดกาแฟหรือโอเลี้ยง และดื่มตามๆ กันมาจนเป็นแฟชั่น เพราะไม่ทราบว่ากาแฟนั้นมีโทษต่อสุขภาพ แม้ว่าคาเฟอีนจะไม่มีโทษมากเท่ากับยาเสพติดอย่างอื่นก็ตาม
ในปี ค.ศ.1980 สำนักงานอาหารและยา (F.D.A.) ของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศเตือนสตรีที่มีครรภ์ให้งดและลดกาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อทารกทำให้คลอดออกมาได้สมประกอบได้
มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดของสหรัฐก็พบว่า การดื่มกาแฟวันละ 1-2 ถ้วย จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในตับอ่อนได้มากถึง 2 เท่า การดื่มกาแฟร้อวันละ 3 ถ้วยหรือมากกว่านี้ก็จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในตับอ่อนถึง 3 เท่า
ส่วนชานั้นมีสารชนิดหนึ่งชื่อเทนนิน (TANNIN) ซึ่งเป็นตัวทำลายวิตามินบีหนึ่งในอาหารได้ จึงไม่ควรดื่มน้ำชาร่วมกับอาหาร ถ้าใครอดไม่ได้ ก็ควรดื่มชาหลังอาหารแล้วสัก 1 ชั่วโมง เพื่อรอให้วิตามินบีหนึ่งได้ดูดชับไปก่อน คนที่ขาดวิตามินบี 1 นั้น จะทำให้เป็นโรคเหน็บชา มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ปวดแสบ เสียวในขาและขาไม่มีแรง อารมณ์เสียและหงุดหงิดง่าย
การดื่มชามากๆ จะทำให้ท้องผูก แพทย์จึงมักแนะนำให้ดื่มน้ำชาคนไข้มีอาการท้องร่วงหรือท้องเดิน แต่ไม่ใช่ดื่มเป็นเครื่องดื่มประจำวัน
การดื่มชาขณะกินอาหาร จะทำให้การดูดซับของธาตุเหล็กน้อยลงถึงร้อยละ 87 ส่วน ดื่มกาแฟกับอาหารจะลดลงร้อยละ 39 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่เป็นโรคโลหิตจาง ควรหลีกเลี่ยงการดื่มชาและกาแฟ (ข้อมูลจากการวิจัยของมหาวิทยาลัยแพทย์แคนซัสสหรัฐอเมริกา)
สำหรับเครื่องดื่มและน้ำอัดลมประเภทโคล่า ก็เป็นที่นิยมกันมากทั่วโลก ทั้งในประเทศไทยเองก็รู้จักกันเกือบทุกคน แต่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าน้ำอัดลมประเภทโคล่า 1 ขวดมีคาเฟอีนเกือบเท่ากาแฟ 1 ถ้วย และถ้าดื่มมากๆ ก็จะเป็นอันตราย เช่นเรื่องที่นายแพทย์ เอ ดับปลิว ทรูแมน พบชายคนหนึ่งบนรถไฟมีท่าทางกระวนกระวาย หงุดหงิด เดี๋ยวลุก เดี๋ยวนั่ง แต่ไม่มีกลิ่นเหล้าและไม่ได้สูบบุหรี่ จึงเข้าไปทำความรู้จัก ชายหนุ่มก็เล่าว่า เขาเป็นเลขานุการของประธานการรถไฟแห่งนี้ แต่เจ้านายสั่งให้พักงาน 3 เดือน และเขากำลังจะไปพักรักษาตัว เพราะรู้ว่าเกือบจะเป็นโรคประสาท กินไม่ได้ นอนไม่หลับ น้ำหนักลด และปวดหัวบ่อยๆ เมื่อคุณหมอซักประวัติจึงทราบว่า เขาติดน้ำอัดลมประเภทโคล่า ดื่มประมาณวันละ 20 ขวด หมอจึงแนะนำว่าถ้าไม่แตะต้องน้ำอัดลมประเภทโคล่าเลย เขาจะกลับเข้าทำงานได้ภายใน 3 อาทิตย์
หลังจากนั้นไม่ถึง 3 อาทิตย์ หมอก็ได้รับจดหมายจากคุณแม่ของชายผู้หนุ่มผู้นั้น เขียนมาขอบคุณที่ช่วยให้ลูกชายของเธอหายจากอาการต่างๆ และเป็นปกติสุขแล้ว
ปัจจุบันนี้มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่ติดน้ำอัดลมประเภทนี้ เรียกว่าแทบจะดื่มแทนน้ำเปล่ากันเลย โดยเฉพาะในเด็กนั้นมีข้อมูลที่น่าจะเป็นห่วงว่าจะกระทบกรเทือนต่อร่างกาย และการเจริญเติบโตทางสมองของเด็กได้ ในสหรัฐอเมริกานั้นประชาชนตื่นตัวกันมาก จนบริษัทต่างๆ ต้องผลิตน้ำอัดลมประเภทโคล่าที่ไม่มีคาเฟอีนออกจำหน่าย จนน้ำอัดลมที่ไม่ใช่ประเภทโคล่าฉวยโอกาสโฆษณาว่า “ของฉันดีกว่าเพราะไม่มีคาเฟอีน” เราก็น่าจะเลิกดื่มน้ำอัดลมที่มีคาเฟอีนกันได้แล้ว
เครื่องดื่มที่เรียกว่ายาชูกำลัง (เครื่องดื่มเพื่อให้กำลังงาน) ก็เป็นที่นิยมกันมาก โดยเฉพาะในกลุ่มคนขับรถรับจ้าง รถบรรทุก และกรรมกร ซึ่งก็มีรายได้ไม่มากนักแต่ต้องมาเสียเงินซื้อยาชูกำลังดื่มวันละหลายๆ ขวด (ขวดละประมาณ 10 บาท) ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นหรือเป็นประโยชน์ต่อร่างกายเลย แถมยังเป็นการทำลายสุขภาพของตนเองอย่างน่าเสียดายด้วย
เครื่องดื่มชูกำลังนั้น ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการเลย นอกจากวิตามิน (ซึ่งสูญเสียง่าย) เกลือแร่ และน้ำตาลเพียงเล็กน้อยที่ผสมอยู่ การที่เรารู้สึกว่า “มีกำลัง” หลังจากดื่มยาชูกำลังก็เพราะสารคาเฟอีนที่ผสมอยู่นั่นเอง ซึ่งก็ไม่ได้เสริมกำลังจริง ซ้ำยังทำให้เกิดอุบัติเหตุมากขึ้น โดยเฉพาะในรายที่กินยาม้าด้วย
สำหรับยาแก้ปวดนั้น ในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่า การผสมคาเฟอีนกับแอสไพรินจะทำให้ประสิทธิภาพของยาแก้ปวดดีขึ้น ถ้าใช้ยาแก้ปวดแอสไพรินที่ผสมคาเฟอีนเป็นประจำ ก็จะทำให้เราติดยาแก้ปวดโดยไม่จำเป็น ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพและเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ ชาวนาชาวสวนซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของชาติ จึงมีจำนวนไม่น้อยที่กำลังติดยาแก้ปวดที่มีคาเฟอีนผสมอยู่ เราควรจะพิจารณาตัดคาเฟอีนออกจากยาแก้ปวดต่างๆ เสียที
โทษของคาเฟอีน
(ชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง ยาแก้ปวด โคล่าและโอเลี้ยง)
1. หัวใจสั่น (หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ หรือผิดปกติ)
2.ทำให้ความดันโลหิตสูง
3. ทำให้ไขมัน (โคเลสเตอรอล) ในเลือดสูงขึ้น ซึ่งในทางอ้อมจะทำให้เป็นโรคหัวใจวายง่ายขึ้น
4. ทำให้กระเพาะอาหารผลิตกรดออกมามากกว่าปกติ ซึ่งทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารง่ายขึ้น (จากสถิติพบว่า คนไทยเป็นโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลมาก)
5. เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน อาจทำให้มีก้อนซีสท์ที่เป็นเนื้องอกในเต้านมสตรี
6. ทำลายโครโมโซมในหนูที่ใช้ทดลอง และลูกหนูที่คลอดออกมาพอการไม่สมประกอบ ในปี ค.ศ.1980 สำนักงานอาหารและยา (F.D.A.) ของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศเตือนให้สตรีที่ตั้งครรภ์หรือลดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อเด็กในครรภ์ได้
7. ระบบประสาทถูกกระทบกระเทือน ทำให้
1. นอนไม่หลับ
2. มือสั่น
3. ตึงเครียด
4. อารมณ์เสียง่าย
5. ปวดหัว
6. ประสิทธิภาพการทำงานต่ำลง
ประโยชน์ของคาเฟอีน
1. แพทย์อาจจะใช้กับเด็กทารกที่คลอดก่อนกำหนดและหยุดหายใจแล้วกว่า 20 วินาที เพื่อช่วยกระตุ้นให้ฟื้น ซึ่งได้ผลไม่แน่นอน
2. ใช้ในห้องทดลองเกี่ยวกับการกระตุ้นระบบประสาท
3. ผสมกับยาเออร์กอท (Ergot) ในการรักษาไมเกรน
4. นานๆ ครั้งแพทย์จะใช้กับคนไข้ที่ถูกยาพิษบางชนิดที่ไปกดระบบประสาท ทำให้คนไข้ง่วงซึมและหายใจไม่ค่อยได้
วิธีเลิกคาเฟอีนนั้นไม่ยากเกินไปเลย สุดแต่ใจของคุณว่าจะมุ่งมั่นแค่ไหน ลองทำตามดูแล้วคุณจะรู้ว่าง่ายเพียงใด
1. ดื่มเครื่องดื่มที่ไม่มีคาเฟอีน เช่น น้ำผลไม้ กาแฟที่ทำจากถั่วเหลือง กาแฟที่สกัดจากคาเฟอีนออกแล้วหรือชาสมุนไพรอื่นที่ไม่มีคาเฟอีน
2. ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว (ขณะรับประทานอาหารอย่าดื่มน้ำมากนัก)
3. นอนและพักผ่อนให้เพียงพอ ขณะขับรถ ถ้ารู้สึกง่วงควรจอดรถและลงมาเดินหรือวิ่งหรือล้างหน้า หรือนอนพักผ่อนสักงีบหนึ่งจึงค่อยขับต่อ
4. พยายามออกกำลังกายทุกวัน (การเดินเร็วๆ ก็เป็นการออกกำลังกายที่ดีวิธีหนึ่ง)
5. สี่ห้าวันแรกท่านอาจจะรู้สึกง่วงนอนก็หาวิธีแก้ง่วง เช่น อาบน้ำเย็นและถูตัวด้วยผ้าขนหนูผืนเล็กๆ แรงๆ ออกกำลังกายหรือเดินเร็วๆ และหายใจเข้าออกลึกๆ 10-20 ครั้ง ท่านอาจจะหางานอดิเรกหรืองานอื่นทำเพลินๆ ก็ได้ ถ้าง่วงหรือเหนื่อยจริงๆ ก็ต้องนอนพักผ่อนไม่ต้องฝืน
6. งดบุหรี่เบียร์และเหล้าก็จะช่วยได้มาก พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งแวดล้อมที่เชิญชวนให้เราบริโภคในสิ่งที่เรากำลังอยากจะเลิก
7. รับประทานวิตามินบีรวม (บีคอมเพล็กซ์) วันละ 1 เม็ดใน 7 วันแรก (ที่ใช้ทานวิตามินบีรวม เพราะสี่ห้าวันแรกที่งดคาเฟอีนอาจจะมีอาการอ่อนเพลีย หงุดหงิด ซึมเศร้า ง่วงซึม มือเท้าสั่น แต่ท่านไม่ต้องกังวล ทำจิตใจให้สงบ อาการต่างๆ จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง ช่วยลำบากที่สุดมีเพียง 3-5 วันแรกเท่านั้น ถ้าทำได้ชัยชนะจะเป็นของท่าน)
8. กินอาหารเช้าให้อิ่ม (เพราะถ้าอาหารเช้าไม่เพียงพอระดับน้ำตาลในเลือดจะต่ำลง ทำให้รู้สึกไม่มีแรง ทำให้อยากดื่มชา กาแฟอีก) ควรกินอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ และอาหารธรรมชาติ หลีกเลี่ยงขนมหวาน อาหารเผ็ดจัด ของมันๆ และอย่ากินอิ่มเกินไป
9. ขณะหยุดคาเฟอีน ถ้ามีปวดหัวหรือปวดเมื่อย ให้กินยาแอสไพริน หรือพาราเซตามอลที่ไม่มีคาเฟอีนผสมอยู่ (อย่าลืมดื่มน้ำ 1 แก้วตามด้วย มิฉะนั้นยาจะกัดกระเพาะ)
วิธีแก้ปวดที่ดีโดยไม่ต้องใช้ยา คือ นั่งและแช่เท้าทั้ง 2 ในกะละมังน้ำร้อนที่พอทนได้ คอยเติมน้ำให้อุ่นอยู่เสมอ ในขณะเดียวกันเอาผ้าขนหนูผืนเล็กๆ ยาวๆ ชุบน้ำเย็นจัดหรือน้ำผสมน้ำแข็งบิดพอหมดๆ แล้วพับขนาดพอเหมาะพันหน้าผากให้รอบศีรษะ และเปลี่ยนผ้าชุบน้ำแข็งทุก 5 นาที ทำประมาณ 20 นาที วันละ 1-2 ครั้ง อาการปวดก็จะทุลาได้ (คนที่เป็นโรคเบาหวานหรือโรคเส้นเลือดในขา ห้ามใช้วิธีนี้)
10. ใช้หลักศาสนาช่วยควบคุมจิตใจ (ตั้งใจให้มั่นว่าต้องเลิกให้ได้) จงระลึกไว้เสมอว่าเมื่อคุณมีชัยชนะแล้ว สุขภาพของคุณจะดีขึ้นอย่างสังเกตได้ และคุณก็ไม่ต้องเสี่ยงกับพิษภัยของคาเฟอีนอีกต่อไป
วิธีเลิกคาเฟอีน
การจะเลิกดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนนั้นไม่ยากเลย สุดแต่ใจของคุณจะมุ่งมั่นแค่ไหน ลองทำตามดูแล้วคุณจะรู้ว่าง่ายเพียงใด
ก่อนจากฝากสักนิด ผู้ใดปฏิบัติแล้วได้ผลอย่างไร กรุณาจดหมายแจ้งข่าวไปที่สำนักพิมพ์ “หมอชาวบ้าน” เขียนที่มุมซองด้วยว่า “คาเฟอีน”
ถึงเวลาแล้วที่เราต้องระวังเรื่องเครื่องดื่มหรือยาที่มีคาเฟอีนด้วย การงดหรือลดเครื่องดื่มเหล่านี้ เพราะเป็นสิ่งเสพติดที่เสียทั้งเงิน ทำลายทั้งสุขภาพ และโปรดจำไว้ว่า สิ่งใดที่ทำลายสุขภาพ สิ่งนั้นก็สามารถทำลายสุขภาพจิตและสติปัญญา ไม่โดยทางตรงก็ทางอ้อม
ดังนั้น “ถ้ารักสุขภาพ ก็จงงดเสพเครื่องดื่มหรือยาที่มีคาเฟอีน” หรือลองงดสัก 1-3 เดือนแล้วจะเห็นว่าสุขภาพของคุณดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- อ่าน 102,128 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้