เด็กสองเดือนถึงสามเดือน
สภาพผิดปกติ
99. ผดไม่หาย
ผดซึ่งเริ่มเป็นตั้งแต่อายุก่อนหนึ่งเดือน และไม่ได้รับการรักษาให้ดีจนเป็นมากขึ้น พอถึงระยะนี้เด็กมักเป็นไขเต็มหัวเหมือนกับเอากระทะครอบหัวไว้ ที่ใบหน้าก็เช่นเดียวกัน บางแห่งที่เป็นแผลหนังลอกออกไปจะอักเสบแดง บางทีเป็นเม็ดมีน้ำใสๆ อยู่ข้างในเหมือนหูด เด็กจะเกาทั้งวันทั้งคืนเพราะคัน ถ้าปล่อยให้เป็นผดเรื้อรังจนถึงขั้นนี้แล้ว คุณแม่อย่าได้คิดรักษาเองเป็นอันขาด เพราะแม้แต่หมอเองก็ยังปวดหัวกับผดเรื้อรังแบบนี้ ในบางรายหมออาจให้กินยาที่เข้าสเตอรอยด์สักระยะหนึ่ง ในบางรายอาจให้ยาสารพัดชนิดมาทาดู
ถ้าลูกเป็นผดจนเรื้อรังขนาดนี้ คุณแม่จะหวังให้หายเร็ว ๆ ไม่ได้แน่ ต้องใจเย็น ๆ คอยจนถึงเวลาของมัน ผดก็จะหายอย่างแน่นอน
ผดบางชนิด ถ้าอาบน้ำให้เด็กจะเป็นมากขึ้น บางชนิดถูกแดดแล้วจะเห่อขึ้นมา บางครั้งห่มผ้าให้เด็กมากเกินไป อาการจะเลวลง ถ้าชงนมให้เด็กข้นแล้วเป็นผดมากขึ้น จะต้องรายงานให้หมอทราบด้วย
ในบางราย ถ้าให้นมผงชนิดไม่มีมันเนยผสมลงไปในนมผงธรรมดา (เช่น ถ้าให้นมเด็ก 8 ช้อน ก็ใช้นมผงธรรมดา 5 ช้อน และนมผงขาดมันเนยอีก 3 ช้อน) อาการจะดีขึ้น แต่คุณแม่จะต้องไม่รักษาลูกเองด้วยวิธีนี้ เพราะถ้าให้นมขาดมันเนยไปนาน ๆ เด็กจะขาดอาหาร
เด็กบางรายเป็นผดมากขึ้นเมื่อให้วิตามินรวม ในกรณีเช่นนี้ ให้งดวิตามินและให้น้ำผลไม้เป็นอาหารเสริม
สิ่งที่คุณแม่จะต้องระมัดระวังที่สุดคือ อย่าให้เชื้อโรคเข้าไปในแผลตามผิวหนัง ต้องเปลี่ยนปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนทุกวัน ถ้าอากาศหนาว เด็กต้องห่มผ้า ควรใช้ผ้าฝ้ายหุ้มผ้าห่มบริเวณขอบบนที่แตะหน้า แล้วถอดออกซักทุกวันด้วย ผ้าพวกนี้จะต้องไม่ซักรวมกับเสื้อผ้าอื่น ๆ โดยเฉพาะผ้าอ้อมและเมื่อซักแล้วควรตากแดดจัดๆ เพื่อฆ่าเชื้อโรค ถ้าวันไหนแดดไม่มีก็ลงทุนรีดเสียหน่อยคุณแม่ควรพาเด็กออกเที่ยวดูโน่นดูนี่บ่อย ๆ โดยไม่ให้ถูกแดด เพื่อให้เด็กเพลินลืมคัน และทำให้เด็กเหนื่อย ตอนกลางคืนจะได้นอนหลับดีคุณแม่ไม่ควรพาลูกไปใกล้เด็กที่เป็นโรคผิวหนัง ซึ่งมีเม็ดพอง (pemphigus) และอย่าให้ลูกเล่นน้ำในอ่างเดียวกับเด็กซึ่งเพิ่งปลูกฝีมา เพราะถ้าหนองฝีเข้าไปในแผล ผดจะกลายเป็นหนองและกลายเป็นแผลเป็นทั้งตัวทีเดียว
****มีเสมหะ ดูหัวข้อ 79 มีเสมหะ
100. ท้องเสียและท้องผูก
เด็กอายุ 2-3 เดือน ถึงแม้จะอึบ่อยและมีเศษอาหารเป็นก้อนๆ ปนในอุจจาระหรือมีมูกเหนียวๆ ปน ก็ไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงอะไร เด็กที่เลี้ยงด้วยนมแม่จะไม่เป็นโรคท้องร่วง และโรคท้องร่วงที่เกิดจากเชื้อไวรัส จะไม่เกิดกับเด็กในวัยนี้
ถ้าเด็กที่เลี้ยงด้วยนมแม่อึบ่อยขึ้น เมื่ออายุย่างเข้า 2 เดือน ก่อนอื่นให้คิดว่าอาจเป็นเพราะนมแม่ไหลดีขึ้น ลองชั่งน้ำหนักเด็กดู ถ้าน้ำหนักเฉลี่ย 5 วัน เคยเพิ่ม 150 กรัม กลับเพิ่มขึ้นเป็น 200 กรัม แสดงว่าเด็กอึบ่อยเพราะนมแม่มีมากขึ้นนั่นเอง ถ้าให้เด็กดูดน้ำต้มสุกเล็กน้อยก่อนให้กินนม เด็กจะกินนมได้น้อยลง และจะอึน้อยลงไปด้วย
เด็กที่เลี้ยงนมผง มีน้อยรายที่จะมีอาการท้องเสีย ถ้าทำความสะอาดขวดนมและหัวนมโดยการต้มหรือนึ่งฆ่าเชื้อโรคอย่างเคร่งครัด เด็กในวัยนี้จะไม่เป็นโรคอะไรที่ร้ายแรง ถ้าเด็กมีอาการท้องเสีย แต่ตัวไม่ร้อน อารมณ์ดีและกินนมได้มาก คุณแม่เพียงแต่ชงนมให้จางลงเล็กน้อย อาการท้องเสียจะหายไปเองแต่ถ้าเด็กมีอาการท้องเสียในฤดูที่อากาศร้อน และมีโรคท้องร่วงระบาดอยู่ ถึงแม้ว่าในอึเด็กจะไม่มีเลือดหรือหนองปน คุณแม่จะต้องเก็บตัวอย่างอุจจาระไปให้หมอตรวจที่โรงพยาบาล (โดยการเพาะเชื้อดู) เด็กอาจเป็นโรคบิดที่ไม่ปรากฏอาการ โดยเฉพาะตามสถานเลี้ยงเด็ก โรคบิดที่ไม่ปรากฏอาการ อาจจะระบาดได้ผ้าอ้อมไม่ได้รับการฆ่าเชื้อโรคอย่างสมบูรณ์
เด็กที่กินนมแม่แล้วเกิดอาการท้องผูกเมื่ออายุย่างเข้า 2 เดือนนั้น ก่อนอื่นให้คิดว่านมแม่อาจไม่พอแล้วตรวจดูโดยการชั่งน้ำหนักเด็ก ถ้าน้ำหนักเด็กซึ่งเคยเพิ่ม 150 กรัม ใน 5 วัน กลับเพิ่มเพียง 100 กรัม แสดงว่า นมแม่ไม่พอ ต้องให้นมวัวเพิ่ม (ดูหัวข้อ 85 เลี้ยงด้วยนมแม่) อย่างไรก็ตาม เด็กที่เลี้ยงด้วยนมแม่แล้วท้องผูก อาจไม่ได้เป็นเพราะนมแม่ไม่พอเสมอไป บางครั้งเราก็ไม่รู้สาเหตุว่าทำไมเด็กจึงท้องผูกในระยะนี้ คุณแม่ลองให้น้ำผลไม้ชนิดต่างๆ ในปริมาณต่างๆ ดู ถ้าให้แล้วยังอึ 3 วันครั้งและร้องงอหายเวลาเบ่งอึก็ต้องสวนทวารให้วันเว้นวัน แต่ถ้าเด็กอึ 2 วันครั้งและอึไม่แข็งออกมาโดยสะดวก ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องทำอะไร
มีเด็กที่เลี้ยงด้วยนมวัวจำนวนมากที่ท้องผูก ถ้าอาการท้องผูกเริ่มมาตั้งแต่เดือนที่แล้ว ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะถึงระยะนี้เด็กบางคนเริ่มกินอาหารด้วยช้อนได้แล้ว คุณแม่ลองให้นมเปรี้ยวดู แล้วค่อยๆ เพิ่มปริมาณนมเปรี้ยวที่ให้จนกระทั่งเด็กอึสะดวกทุกวัน แล้วให้เด็กกินปริมาณนั้นต่อไปทุกวันถ้าไม่สวนทวารให้แล้วเด็กไม่อึนานถึง 7-10 วัน เด็กอาจเป็นโรคลำไส้ใหญ่ขยายโต เนื่องจากปมประสาทที่ควบคุมผิดปกติมาแต่กำเนิด (Hirschsprung’s disease) โดยเฉพาะในกรณีที่เด็กท้องใหญ่ผิดปกติและโตช้า ควรพาไปตรวจร่างกาย
101. ตัวร้อน
เด็กอายุ 2-3 เดือน มักไม่เป็นไข้ตัวร้อน ถ้าคุณแม่อุ้มลูกขึ้นรถเที่ยวในช่วงอากาศร้อนประมาณ 1-2 ชั่วโมงติดต่อกัน เด็กอาจมีอาการตัวร้อนเพราะไอร้อนจากตัวแม่ได้ ถ้าให้เด็กนอนในที่ร่มรื่น หรือให้นอนหมอนน้ำแข็ง และให้ดูดน้ำผลไม้เย็น ๆ ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ไข้ก็จะลด บางครั้งเวลาอากาศหนาว ถ้าเราห่มผ้าให้เด็กมากเกินไป เด็กอาจตัวร้อนอยู่พักหนึ่งได้
อาการเป็นไข้ตัวร้อนของเด็กซึ่งเกิดจากโรคติดต่อ (เช่น หัด เยื่อหุ้มสมองอักเสบ) จะไม่ติดเด็กในวัยนี้ ถ้าทั้งบ้านเป็นหวัดแล้วเด็กเกิดติดหวัดด้วย อาจมีอาการตัวร้อนเนื่องจากหวัด แต่เด็กอายุ 3 เดือนตัวจะไม่ร้อนจัด ในบางราย (แต่มีน้อยราย) เด็กจะตัวร้อนเพราะต่อมน้ำเหลืองใต้คางเกิดอักเสบ ถ้าคลำดูใต้คาง จะเห็นบวมเป็นก้อนแข็ง เมื่อรู้ว่าต่อมน้ำเหลืองอักเสบต้องพาไปหาหมอ หมอจะให้ยาปฏิชีวนะมารักษา ถ้าอาการเร็วอาจไม่ต้องผ่าตัด
ถ้าเด็กตัวร้อนแล้วร้อนอย่างรุนแรง มักเป็นโรคหูอักเสบ ซึ่งถ้าเป็นตอนกลางคืนพาไปหาหมอ หมอง่วงๆ อาจไม่ได้ตรวจหูโดยละเอียดแล้วบอกว่า คงเป็นหวัดแล้วฉีดเพนนิซิลลินให้ ซึ่งบังเอิญให้ผลในการรักษาหูอักเสบไปในตัวด้วย ถ้าคุณแม่ไม่ได้รีบร้อนพาไปหาหมอกลางดึก แต่เช็ดตัวให้ตลอดคืน วันรุ่งขึ้นจะเห็นน้ำใสๆ ไหลออกมาจากหูข้างที่เจ็บ จึงรู้ได้ทันทีว่าเมื่อคืนตัวร้อนเพราะหูอักเสบ จากนั้นค่อยพาไปหาหมอก็ทันการ หมอรักษาให้ 3-4 วันเยื่อหูที่ขาดจะกลับติดกันเหมือนเดิม
ถ้าเด็กที่คลอดก่อนกำหนดและไม่ค่อยแข็งแรงหรือเด็กที่เป็นโรคกระดูกอ่อนมีอาการตัวร้อน อาจเป็นโรคปอดบวมหรือปอดบวมอย่างเฉียบพลันได้ ในกรณีเช่นนี้ เด็กจะหายใจฟืดฟาดดูเหมือนหายใจลำบาก ถ้าเด็กมีอาการเช่นนี้ ต้องรีบพาไปหาหมอทันที
****ร้องจ้าอย่างกะทันหันโดยไม่ยอมหยุด ดูหัวข้อ 81 เมื่อเด็กร้องจ้าอย่างกะทันหัน
- อ่าน 25,722 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้