• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

บัวบกแก้ท้องเสีย

บัวบกแก้ท้องเสีย

 

                         


เมื่อใกล้เที่ยงคืนวานซืนนี้ ผมถูกปลุกขึ้น รับรายงานเสียงเครือ ๆ จากผู้ช่วยทำงานบ้านว่า ท้องเสียลง 5 ราก 3 เป็นไข้ด้วย ขอยากิน
ยาจำพวกนี้ ก็เกลี้ยงบ้านมาหลายวันแล้ว มั่วแต่ผัดวันประกันพรุ่งตามประสาคนขี้เกียจ ทั้งชะล่าใจด้วยว่า สำนักงานส่งเสริมการค้าอาหารและยา ท่านกรุณาอนุญาต ให้พี่น้องให้พี่น้องของผมตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ตั้งร้านขายยาแถวบางขุนนนท์กันยั้วเยี้ย บริจาคเงินบำรุงเศรษฐกิจท่าน เมื่อใดก็ย่อมจะได้ยามาใช้ตามสมควร ไม่ได้คิดละว่า ถ้าเกิดเหตุวิกฤตขึ้นในยามวิกาล จะไม่มีพี่น้องรุ่นดึกดำบรรพ์ผู้ใดยอมรับรู้ความทุกข์ทนหม่นไหม้ของผมแน่
แทนที่จะคิดถึงโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งอยู่ห่างเพียง 3-4 กิโลเมตร กลับนึกขึ้นได้ว่า เมื่อตอนเย็นแม่บ้านผมเก็บใบบัวบกไว้ให้ ผมกินแกล้มลาบเทียม ซึ่งใช้ถั่วเขียวแทนเนื้อสัตว์ แต่เนื่องจาก “ความขัดข้องทางเทคนิค” บางประการ จึงไม่ได้กิน จึงเสนอให้คุณแม่บ้าน “ทำการบดขยี้” ด้วย “ครกไฟฟ้า” ท่านแต่งรสด้วยน้ำเชื่อมและเกลือ เพื่อเอาใจท่านผู้ช่วย ผู้ซึ่งไม่ยอมกินบัวบก แก้ท้องเสียตามคำแนะนำของผมมาหลายหนแล้ว คราวนี้ เข้าตาจนเกรงจะไม่ได้กลับไปเห็นหน้าพ่อแม่ก็เลยยอมดื่ม พร้อมกับแอสไพริน ขนาด 325 มิลลิกรัม 1 เม็ด เขากินเองก่อนแล้วเม็ดหนึ่ง
 

คนบ้านผมไม่มีโอกาสได้พบกับยาแก้ปวดจำพวก “เทวาประสาท” โก้ ๆ ของฝรั่ง หรือของไทย ชื่อกระจุ๋มกระจิ๋ม อย่างปวดตาย ระทมใจ หรือ แก่แร่ด ใครดื้อรั้น ดันทุรัง ก็ไปหาใช้เอาเอง
มีเหล้าสะระแหน่ ติดก้นขวดยานัตถุ์ อยู่นิด คิดจะอาศัย ความซู่ซ่า เสริมกำลังใจ เขาสักหน่อยก็ปรากฏว่าเก่าจนไม่ออกรส
หลังจากนั้น ราว 15-20 นาที คุณแม่บ้านก็บดที่เหลืออีกราว ๆ 30 ใบ ให้ดื่มซ้ำครั้งแรกนั้นราว 60-70 ใบ ย่อมๆทั้งนั้น กว้างราว 3 ซม. ที่ว่าใบนี้ รวมทั้งก้านใบด้วย แต่ไม่ได้ใช้ทั้งต้น เพราะบัวบกเกิดไม่ทันให้เรากิน เนื่องจากที่บ้านผมถูกพัฒนา จนน้ำแช่เหม็น ดินบูด ต้นไม้ไม่งอกงามและปัญญาอ่อน หรือไม่ก็เห็นแก่ตัวไม่กล้าช่วยดูดอากาศพิษ อย่างของ กทม.ท่าน จนผมกลายเป็นคนกะปลกกะเปลี้ย และยิ่งแย่มากตอนโหนรถเมล์ ซึ่งขับโดยนักขับเทวดา ของ ขสมก. ทำให้ผมเลิกคิดจะอยู่ให้หนักแผ่นดิน สักร้อยปีกว่า ๆ อย่างที่เคยตั้งเป้าเอาไว้เมื่ออ่านพบตำรา ยาอายุวัฒนะ
ผมยังไม่รู้จักว่า “โอ.อาร์.เอส.” (O.R.S.) ขององค์การเภสัชกรรมนั้น คืออะไรกันแน่ และมันป้องกันอาการขาดน้ำได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ไหลโจ๊ก ๆ ออกไปแล้ว กันหรือแก้กันแน่ก็ไม่รู้ ก็เลยต้มน้ำใส่เกลือกับน้ำตาล อย่างที่หมอชาวบ้านแนะให้เขาดื่ม มากน้อยตามใจชอบเขา เขาจะชอบหรือไม่เลื่อมใสก็ไม่ได้ถาม แต่เห็นเขาจัดการทำเพิ่มเองในวันรุ่งขึ้น

เช้าขึ้น มีการถ่ายที่เหลือตกค้างเล็กน้อยอีกหนเดียว ตอนเที่ยงผมสอบถามได้ความว่า ยังไม่สบายท้อง ก็เลยซื้อยาธาตุน้ำแดงให้ดื่มกล่อมกระเพาะ และบำรุงขวัญเสียหน่อย
บางท่านสงสัยว่า ทำไมผมจึงไม่รีบพาไปโรงพยาบาล เพราะไม่ใช่ตัวเองหรือลูกหลานนะสิ จึงได้ทำอย่างนั้น นี่ถ้าลูกตายไปจะว่ายังไงยะ ?
ขอเรียนว่าก่อนหน้านั้น คือเมื่อปลายเดือนมิถุนายน ผมท้องเสียและต่อด้วยบิด มีเลือดพอให้น้ำในคอส้วมเป็นสีแดงอ่อน ผมจะกินยาซึ่งตอนนั้นมีเล็กน้อย แต่แม่บ้านให้ผม กินบัวบก บดแหลก เพราะเขาสังเกตว่า กินแล้ว ท้องสบายดี ดูเรื่องสมุนไพรของคุณชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ ในหมอชาวบ้าน ฉบับที่ 11 ว่าแก้บิดได้นึกสนุกก็เลยกินต่อไป

คราวนั้นใช้ทั้งต้นด้วย ไม่ได้สนใจจริงจัง ลองช่วยกันคิดทบทวนดูกับแม่บ้าน คะเนอย่างเหลว ๆ ว่ากินไม่ถึง 4 กำมือใน 2 วัน คือ ค่ำวันแรก 1 ถ้วย ค่ำวันที่สอง 1 ถ้วย เช้าวันที่สาม 1 ถ้วย กินหมดทั้งกาก วันที่สองนั้นสลับฉากด้วยการเคียวสดกับดื่มน้ำว่านกาบหอย (หมอชาวบ้านฉบับที่ 7 หน้า 54) ต้มน้ำเปล่าครั้งละต้น สองครั้ง หายใน 48 ชั่วโมง นับแต่เริ่มใช้บัวบก คราวนี้จึงลองอย่างมีความหวัง แต่เผอิญไม่ใช่เวลาดึก หรือไม่มีใบบัวบก ก็คงไม่ได้ลอง
และจะเผอิญหรือไม่เผอิญอย่างใด ก็คงจะไม่ลองใช้นมเปรี้ยวฆ่าเชื้อ เพราะลืมความวิเศษที่ “นักวิท-ยาศาสตร์ ชั้นแนวหน้าของประเทศไทย” พล่ามเพ้อไว้เสียสนิท

ที่ผมเล่าเรื่องนี้กรุณาอย่าคิดว่าผมอยากเด่นนะครับ เพราะการเล่าเรื่องผมท้องเสียเป็นบิดนั้น ก็เท่ากับป่าวร้องว่า ผมกินขี้ใครก็ไม่รู้เข้าไปจน “ได้ดี” ท่านผู้อื่นท่านกินกันดี ๆ มีหน้ามีตาผู้คนเคารพนับถือ ส่วนผมกินแล้วแย่ ถ้าไม่คิดว่าอาจเกิดประโยชน์แก่บางท่านแล้วละก็ผมไม่เล่าเด็ดขาด อายครับ

 

ข้อมูลสื่อ

20-012
นิตยสารหมอชาวบ้าน 20
ธันวาคม 2523
อื่น ๆ
สุมน ผลกานนท์