อิสระ
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก เสียงเคาะประตูห้องตรวจของป้าหมอ
"เชิญค่ะ" ป้าหมอตอบหลังจากเสียงเคาะเงียบไป
" คุณน้ำ " คุณแม่ยังสาวของน้องเหน่งเปิดประตูเข้ามาช้าๆ พร้อมทั้งปิดประตูลงด้วยเสียงเงียบกริบ
" สวัสดีค่ะ ป้าหมอ" คุณน้ำพูดพลางยกมือขึ้นไหว้ แล้วก็นั่งลงบนเก้าอี้ตรงหน้าป้าหมอพร้อมกับพูดว่า " ดิฉันมาขอคำปรึกษาป้าหมอ เรื่องลูกสาวของดิฉันค่ะ "
คุณน้ำเริ่มเล่าว่า " สมัยน้องเหน่งยังเล็ก ดิฉันต้อง จ้างคนมาเลี้ยงลูก เพราะว่าตนเองต้องออกไปช่วยสามีทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง โชคดีที่พวกเราได้พี่เลี้ยง ที่รักเด็ก พี่เลี้ยงอยู่ดูแลน้องเหน่งจนเข้าเรียนอนุบาล แล้วจึงลาออกกลับต่างจังหวัดไป
ภาระการดูแลน้องเหน่งจึงตกมาอยู่ที่คุณน้ำเพียงคนเดียว คุณแม่ต้องยอมลาออกจากงานที่เคยทำอยู่ แม้จะได้เงินเดือนค่อนข้างสูง เพื่อให้มีเวลาเหลือพอที่จะดูแลรับส่งน้องเหน่งไปโรงเรียนกลับบ้านนอกจากงานประจำ คุณน้ำยังมีงานบ้านที่ต้องคอย ปัดกวาดเช็ดถูด้วย ชีวิตที่เต็มไปด้วยงาน คุณน้ำจึงต้อง เลี้ยงน้องเหน่งด้วยวิธีการตั้งกฎเกณฑ์ต่างๆ ขึ้นมา ต้องช่วยทำงานบ้าน ต้องนอนเป็นเวลา ต้องกินข้าวตอนกี่โมง ต้องเรียนให้ได้เกรดที่ดี เพื่อให้การเลี้ยงดูน้องเหน่งนั้นง่ายขึ้น คุณน้ำจะได้เบาแรงลงจากงานที่แบกรับอยู่
น้องเหน่งจึงเป็นเด็กที่อยู่กับกรอบมาตลอดชีวิต รอบตัวมีแต่ความเป็นระเบียบ แต่คุณน้ำกลับรู้สึกพอใจ ที่ลูกสามารถทำได้ตามที่ตนเองสั่งสอนเอาไว้ ทั้งด้านการเรียนและการทำงานบ้าน
จากการเลี้ยงดูแบบนี้ ทำให้น้องเหน่งโตมาเป็นเด็กที่มีระเบียบสูงกว่าเด็กวัยเดียวกัน น้องเหน่งสอบเข้า มหาวิทยาลัยชื่อดังได้ตามต้องการ
น้องเหน่งใช้ชีวิตภายในรั้วมหาวิทยาลัยแตกต่างจากเด็กคนอื่น เพราะคุณน้ำจะไม่อนุญาตให้น้องเหน่งไปร่วมกิจกรรมกับทางมหาวิทยาลัยเลย ยกเว้นกิจกรรม ที่ทางมหาวิทยาลัยบังคับ หรือกิจกรรมที่มีผลต่อเกรดเฉลี่ยของน้องเหน่งเท่านั้น น้องเหน่งซึ่งเป็นคนชอบการทำกิจกรรมออกค่ายร่วมกับเพื่อนๆ จึงได้แต่ยอมรับการตัดสินใจของคุณน้ำผู้เป็นแม่เท่านั้น
น้องเหน่งเองก็เริ่มที่จะรู้ตัวถึงความเจ้าระเบียบของ ตนเองแล้ว เพราะเวลาที่เธอกินอาหารหรือเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัย เธอมักจะคอยเตือนเพื่อนๆ ให้เก็บข้าวของให้เป็นระเบียบเสมอจนเพื่อนๆบอกว่า "เหน่ง... ทำไมเธอเป็นคนเจ้าระเบียบขนาดนี้"
เมื่อน้องเหน่งเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย เหลือเพียง 1 เทอมเท่านั้น เธอก็จะจบออกมาเป็นบัณฑิต เต็มตัว เพื่อนร่วมคณะที่เรียนมาด้วยกัน ชวนเหน่งให้ไปทำงานที่ต่างประเทศระหว่างปิดภาคเรียนที่ 1 เป็นงานในร้านอาหารคุณน้าของเพื่อนที่ไปแต่งงานอยู่กินกับชาวต่างชาติ น้องเหน่งตื่นเต้นกับคำชวนของเพื่อนมาก ทั้งได้ไปต่างประเทศ ทั้งได้เงินพิเศษ
คุณน้ำบอกว่า "ทันทีที่เหน่งมาขอดิฉันไปทำงานที่นั่น ดิฉันตอบปฏิเสธทันที ไหนจะเป็นห่วงลูกไปไกลหูไกลตา ไหนจะเรื่องเงินค่าเครื่องบินอีก ครอบครัวเราก็ไม่ได้มีเงินมีทองขนาดนั้น ไปอาศัยเขาอยู่จะลำบาก อยู่ไกลบ้านเกิดเมืองนอน "
ความอยากท่องโลกกว้าง อยากหลุดจากกฎระเบียบ ที่คุณแม่ตั้งไว้ ทำให้น้องเหน่งทำทุกวิถีทางจนคุณน้ำยอมใจอ่อนอนุญาตให้ไปทำงานต่างประเทศได้น้องเหน่งใช้ชีวิตทำงานที่ต่างแดนด้วยความสนุกสนาน เหมือนนกที่หลุดออกจากกรงได้กางปีกบิน ได้สูดกลิ่นอิสรภาพเต็มที่ น้องเหน่งได้ทำอาหารได้พูดคุยกับชาวต่างชาติมากหน้าหลายตา ได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่ตนเองไม่เคยสัมผัส น้องเหน่งรู้ได้ในทันทีว่า "ชีวิตที่สามารถคิดเองทำเองแบบนี้คือ ชีวิตที่เธอต้องการ"
ทุกอย่างเป็นไปตามกระแสของกาลเวลา ทำให้ความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ จนถึงวันที่น้องเหน่งต้องกลับเมืองไทย น้องเหน่งเตรียมใจที่จะกลับเข้าไปสู่กฎเกณฑ์เดิมๆ ของคุณแม่ ต้องทำตามที่คุณแม่สั่ง ต้องเดินตามทางที่คุณแม่ชี้ แต่เธอก็ไม่หมดหวัง เมื่อน้าสาวของเพื่อนที่เป็นเจ้าของร้านอาหารที่เธอมาทำงานด้วย เอ่ยปากชวนน้องเหน่งให้กลับมาทำงานที่ร้านอีก เพราะว่าชื่นชอบการทำงานที่ตั้งอยู่บนความมีระเบียบของน้องเหน่ง
น้องเหน่งนั่งเครื่องบินกลับเมืองไทยด้วยคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวว่า "ทำอย่างไรคุณแม่จึงจะยอมให้เธอกลับมาทำงานที่นี่อีกครั้ง ต้องอธิบายหว่านล้อมคุณแม่ด้วยวิธีไหนคุณน้ำหลังจากทราบเรื่องว่า ลูกสาวตนเองตั้งใจจะทิ้งการเรียนกลับไปทำงานที่ต่างประเทศ ทั้งที่เหลือเวลาอีกแค่ 1 เทอมก็จะจบมหาวิทยาลัย ก็ร้อนใจเป็นอย่างมาก เข้ามาขอคำปรึกษากับป้าหมอทันที
หลังจากป้าหมอได้ฟังเหตุการณ์ทั้งหมด จึงเข้าใจ ได้ทันทีว่า "สาเหตุที่ทำให้น้องเหน่งเป็นแบบนี้เนื่องจาก กฎเกณฑ์ที่คุณน้ำตั้งขึ้นมาบังคับตีกรอบ เพื่อให้น้องเหน่งเป็นไปอย่างที่ตนเองต้องการ เมื่อน้องเหน่งที่ ไม่เคยได้สูดกลิ่นไออิสรภาพ เมื่อได้ไปต่างประเทศที่ห่างไกลคุณแม่ ห่างไกลข้อบังคับต่างๆ ของคุณแม่ เธอจึงหลงใหลไม่อยากกลับมาเจอกับความน่าเบื่อ เดิมๆ อีก"
ป้าหมอจึงบอกคุณน้ำว่า "ให้น้องเหน่งเรียนมหาวิทยาลัยให้จบเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยตัดสินใจเรื่อง การไปทำงานต่างประเทศ ระหว่างนี้คุณน้ำควรจะอนุญาตให้น้องเหน่งได้แสดงออกถึงความคิดความรู้สึกของตนเองบ้าง เพื่อให้น้องเหน่งรู้สึกว่าคุณแม่ก็เข้าใจเขาเหมือนกัน "
การเลี้ยงดูลูกต้องให้ความเอาใจใส่ดูแล มิใช่ให้โปรแกรมสำเร็จรูป เขาจะเติบโตขึ้นมาอย่างที่เราหวัง หากเราเติมทักษะด้านต่างๆ ให้เขาอย่างพอดี ไม่เร่งรีบ ไม่บีบคั้นจนเกินไป
นกน้อยที่เหินบินอยู่กลางท้องฟ้าย่อมสวยงามกว่า นกน้อยที่นั่งเฉาในกรงขังแน่นอน
- อ่าน 3,288 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้