ตรวจร่างกาย ก่อนแต่งงาน
การแต่งงานหรือการมีชีวิตคู่นั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและสำคัญต่อชีวิตของคู่หญิง-ชายมากนัก เนื่องเพราะก่อนแต่งงานต่างฝ่ายต่างเคยใช้ชีวิตตามวิถีที่ตนพอใจมาโดยตลอด แต่ครั้นเมื่อต้องมาใช้ชีวิตคู่ ความแตกต่างในชาติกำเนิด เศรษฐกิจ วัฒนธรรมของแต่ละครอบครัว อุปนิสัยส่วนตัว พันธุกรรม โรคภัยไข้เจ็บประจำตัว และอื่นๆ จึงถือเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกันให้ได้ก่อนแต่งงาน เพราะความแตกต่างเหล่านี้อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้หลายครอบครัวต้องล่มสลาย แม้แต่เรื่องที่เคยคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ก็อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาได้
ยกตัวอย่างเช่น การนอนกรนของพ่อเจ้าคุณสามีอาจสร้างความรำคาญให้แก่ภรรยาโดยไม่รู้ตัวการใช้เครื่องใช้ร่วมกันในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งอาจไม่มีวัฒนธรรมนี้มาแต่เดิมหรือแม้แต่การชอบชนิดหรือรสชาติของอาหารที่แตกต่างกัน เหล่านี้ก็ทำให้เกิดปัญหา “บ้านแตก” ได้
“บทความพิเศษ” ฉบับนี้ จึงขอพาท่านผู้อ่านมาพบกับเรื่องราวบางส่วนซึ่งมีความจำเป็นต่อการเริ่มต้นชีวิตคู่ในอนาคต นั่นคือ การตรวจร่างกายก่อนแต่งงาน
ตรวจร่างกายเพื่อ..คนที่คนรัก
ทุกคนรู้ดีว่าการเริ่มต้นชีวิตครอบครัวอย่างราบรื่นโดยไม่มีอุปสรรคนั้น คงเป็นเรื่องยาก ด้วยเหตุนี้คู่รักทุกคู่จึงควรเรียนรู้ที่จะเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับปัญญาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ดังเช่นที่ภาษิตจีนกล่าวไว้ว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” สุขภาพกายและจิตมีความสำคัญต่อการเริ่มต้นชีวิตคู่ ในที่นี้จะขอพูดถึงเฉพาะสุขภาพกายก่อน ด้วยทั้งสองต่างก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าเขาหรือเธอมีสิ่งใดที่จะอุปสรรคต่อการเริ่มต้นชีวิตคู่หรือไม่ นอกจากจะจูงมือกันไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย
กรณีนี้เมื่อมีการร้องขอให้อีกฝ่ายหนึ่งไปตรวจ ข้างฝ่ายที่ถูกขออาจจะคิดว่าคนรักของตนไม่ไว้ใจหรือไร จึงต้องให้ไปตรวจร่างกายก่อน จนถึงขนาดบางคู่ที่ไม่สามารถทำความเข้าใจจุดนี้ได้ ก็อาจจะแหนงแคลงใจ พร้อมๆ กับคิดว่าหากไม่ไว้ใจกันก็อย่าแต่งไปโน่นเลยก็มี นั่นเป็นลักษณะการมองเหตุการณ์แบบคนที่มีจิตใจคับแค้น เพราะถ้าหากคุณเปิดใจให้กว้างคุณจะรู้สึกว่าเป็นการดีเสียอีกที่มีการตรวจร่างกายกันก่อนที่จะรวมใจรวมกายเป็นหนึ่งเดียว หากไม่เช่นนั้นแล้ว อะไรๆ ที่เคยเป็นจุดด้อยของคุณคนเดียว ก็จะเพิ่มขยายจำนวนแตกหน่อผลไปสู่คนที่คุณรักด้วย ถ้าไม่รู้ตัวและป้องกันไว้ก่อน
หากมองโลกในแง่ดี คุณจะเห็นข้อดีของการตรวจร่างกายก่อนการแต่งงาน อาทิ
- เป็นการแสดงความจริงใจต่อกัน เพราะการยอมไปตรวจร่างกายเป็นการบ่งบอกถึงความรักที่มีต่ออีกฝ่ายหนึ่ง และแสดงให้เห็นว่า คุณพร้อมที่จะตรวจร่างกายเพื่อเธอ (เขา) และหากพบโรคใดที่อาจติดต่อไปถึงเธอ(เขา)หรือลูก ก็พร้อมที่จะรักษา เพื่อป้องกันไว้ก่อน
- เป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการสร้างครอบครัว คือ เป็นการตรวจเพื่อหาว่าคู่รักขงอคุณมีโรคติดต่อที่จะเป็นอันตรายต่อการตั้งครรภ์หรือไม่ เพื่อจะได้ป้องกันรักษาไว้ก่อนเพราะคุณเองก็คงไม่อยากเห็นลูกน้อยที่จะเกิดมาต้องมีอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งพิการเป็นแน่
แพทย์จะตรวจอะไรบ้าง
เมื่อตกลงใจจะไปพบแพทย์ด้วยกัน นอกจากแพทย์จะตรวจร่างกายโดยทั่วๆ ไปให้แล้ว ยังจะตรวจเลือดให้ด้วย เพื่อตรวจหาความผิดปกติที่อาจจะแฝงอยู่ คือ
1. กลุ่มเลือด (Blood groub) เพื่อจะได้ทราบว่าเป็นเลือดกลุ่ม A,B,AB และ O
2. ความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดง (Hematocrit,Hemoglobin) เพื่อดูว่ามีโลหิตจางหรือไม่ หากมีภาวะโลหิตจาง ก็จะทำการตรวจหาสาเหตุต่อไป
3. ซิฟิลิส (Syphilis) หรือที่นิยมเรียกว่า เลือดบวก จัดว่าเป็นกามโรคชนิดหนึ่ง อาจไม่เคยมีอาการใดๆ เลยก็ได้ แต่สามารถตรวจพบได้โดยการตรวจเลือด
4. เริม โรคนี้จะเป็นๆ หายๆ ยังไม่มียาขนาดใดที่จะรักษาเริมซึ่งเป็นเชื้อไวรัสให้หายขาดได้
5. ตับอักเสบไวรัสบี (HbsAg,Ab)
- หากพบว่า มีเชื้อตับอักเสบไวรัสบี ก็จะได้ดูแลตนเอง และป้องกันมิให้แพร่เชื้อกระจาย
- หากพบว่า ไม่เคยได้รับเชื้อตับอักเสบไวรัสบี ก็ควรฉีดวัคซีนตับอักเสบไวรัสบี
- หากพบว่า มีภูมิคุ้มกันแล้วก็จะเกิดความสบายใจได้
6. เชื้อไวรัสเอดส์ (AIDS-HIV) สำหรับการตรวจหาเชื้อเอดส์นี้แล้วแต่ความสมัครใจของคู่สมรสว่าต้องการตรวจหรือไม่ แต่คนที่รู้ตัวว่าอยู่กลุ่มเสี่ยง (หญิงอาชีพพิเศษ พวกรักร่วมเพศ) ก็ควรที่จะตรวจไว้ก่อนดีกว่า นั่นเพราะทุกคนทราบดีว่ามัจจุราชที่มีชื่อ ว่า “เอดส์” นั้น น่าสะพรึงกลัวเพียงใด ไม่ว่าจะร่วมเพศร่วมเลือดกับใครที่มีเชื้อเอดส์นี้ คุณก็มีโอกาสเป็น “สมาชิกใหม่” ได้ทั้งนั้น
7. ตรวจร่างกายทั่วไป แพทย์จะทำการวัดความดันเลือด เอกซเรย์ปอด (แต่ไม่จำเป็นหากไม่มีประวัติเกี่ยวกับโรคปอดของคนในครอบครัวหรือคนใกล้ชิด) และตรวจหาโรคบางอย่างที่สงสัยหรืออาจจะเป็นเฉพาะราย เช่น โรคทางพันธุกรรม ที่พบได้บ่อย คือ ธาลัสซีเมีย และปัญญาอ่อน (ดาวน์ซินโดรม)
ว่าที่คุณแม่เตรียมตัวให้พร้อม
ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้คือสิ่งจำเป็นจะต้องตรวจทั้ง ชาย-หญิง และโดยเฉพาะเพศหญิง ซึ่งต้องทำหน้าที่ “แม่” ในอนาคต ควรได้รับการตรวจเพิ่มเติมนอกเหนือจากนี้ คือ
หัดเยอรมัน
ถ้าแม่ติดเชื้อหัดเยอรมันระหว่างมีครรภ์ เชื้อไวรัสในเลือดจะทำอันตรายต่ออวัยวะของระบบต่างๆ เช่น เป็นต้อกระจก หูหนวก โรคหัวใจ หรือ บางรายอาจะเป็นปัญญาอ่อน ก่อให้เกิดความพิการ ถ้ารุนแรงอาจจะแท้งหรือตายตั้งแต่แรกคลอด ถ้าแม่ติดเชื้อตั้งแต่ระยะตั้งครรภ์อ่อนเดือน จะพบความพิการได้มากในเดือนแรกมีโอกาสพบทารกพิการ ประมาณร้อยละ 50-80 เดือนที่ 2 มีโอกาสพบความพิการร้อยละ 20-35 เดือนที่ 3 มีโอกาสพบร้อยละ 6-15 เดือนที่ 4 ร้อยละ 1-5
ถ้าคุณไม่เคยเป็นหรือไม่เคยฉีดวัคซีน ป้องกันโรคนี้มาก่อน ก็ต้องรีบตรวจหาภูมิคุ้มกันว่าเคยเป็นหรือยัง หรือฉีดวัคซีนเสียก่อนจะสวมชุดเจ้าสาวหรือก่อนตั้งครรภ์ หลังฉีดวัคซีนควรคุมกำเนิดไว้ก่อน 3 เดือน(บางรายได้รับวัคซีนหัดเยอรมันแล้วมีครรภ์ พบว่า วัคซีนไม่ทำอันตรายต่อทารกในครรภ์) ดังนั้น หากคุณต้องการความปลอดภัยสำหรับลูกอันเป็นที่รัก และเพื่อความสบายใจสำหรับตัวคุณเอง ก็อย่าละเลยหรือมองข้ามวัคซีนหัดเยอรมันไปเสีย
ปัญหาเฉพาะคุณผู้หญิง
หากเกิดกรณีเช่นนี้ควรรีบไปปรึกษาแพทย์
- เลือดประจำเดือนออกมากผิดปกติ มานานผิดปกติเกิน 7 วัน ปวดท้องน้อยขณะมีประจำเดือน (ปวดท้องเมนส์)
- ปวดท้องน้อย คลำพบก้อนในช่องท้อง
- ตกขาว หรือสิ่งผิดปกติออกทางช่องคลอด
- ปัสสาวะผิดปกติ เช่น บ่อยมากขึ้นๆ ไม่สะดวก รู้สึกขัดๆ
- เมื่อสงสัยว่ามีการติดเชื้อที่อุ้งเชิงกราน
- เมื่อวางแผนไว้ว่าต้องการจะมีบุตร
ถ้าคุณมีปัญหาดังกล่าวข้างต้น ข้อใดข้อหนึ่ง หรืออาจจะมากกว่านั้นแพทย์จะทำการตรวจร่างกาย โดยอาจจะตราจภายในเพื่อค้นหามะเร็งปากมดลูกซึ่งพบได้บ่อยๆ หรือเนื้องอกหรือมะเร็งของอวัยวะในอุ้งเชิงกราน อ่านแล้วอย่าเพิ่งกลัวการแต่งงานเสีย เพราะการรู้จักโรค รู้จักการป้องกัน ก็เสมือนเป็นภูมิคุ้มกันให้เราสุขภาพดี ถึงแม้โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางโรคจะยังไม่มียารักษาใดที่รักษาให้หายขาด หรือมีวัคซีนที่สามารถป้องกันได้ แต่ก็ยังมีทางอื่นช่วยได้หากรู้ล่วงหน้า ก็โดยการตรวจร่างกายก่อนแต่งงาน ทั้งนี้เพื่อมิให้โรคถ่ายทอดไปสู่คู่สมรสทางเพศสัมพันธ์ หรือสู่ลูกน้อยในครรภ์ทางเลือด
เพศกับชีวิตคู่
เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มสาว ดูเหมือนไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่ไปกว่า “ความรัก” คนในวัยนี้มันจะมองความรักว่าเป็นสิ่งที่ทำให้โลกสดใส หัวใจสดชื่น มีความสุข รู้สึกอบอุ่นและอยากให้มีใครสักคนคอยอยู่ใกล้ๆ ให้ความช่วยเหลือเอื้ออาทรต่อกัน สิ่งที่ตามมากับความรักเห็นจะหนีไม่พ้นเรื่องการมีสัมพันธ์ทางเพศเพราะเป็นสัญลักษณ์ของการแสดงออกซึ่งความรักวิธีหนึ่ง แต่หลายๆ คนก็พบว่า ตนเองมีปัญหาในการแสดงความรักวิธีนี้
อันที่จริงถ้าเข้าใจความเป็นไปของธรรมชาติ เรื่องเพศก็เหมือนเรื่องอื่นๆ ในชีวิตประจำวันของเราที่อาจจะมิได้ลงตัวราบรื่นเสมอไป ในช่วงหนึ่งของชีวิตคู่ใครๆ ก็อาจประสบปัญหาทางเพศได้ ให้ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา หากเกิดปัญหาขึ้นมา คนใกล้ชิดของคุณนั่นแหละที่จะช่วยได้ ควรพูดกันอย่างตรงไปตรงมาค้นหาสาเหตุของปัญหา ถ้าพูดอ้อมไปอ้อมมา ก็หาสาเหตุไม่พบ ขนาดเรื่องอื่นๆ ที่มีการพูดตรงๆ ยังเสียเวลาแก้อยู่ตั้งนาน แล้วเรื่องเซ็กส์จะพูดอ้อมได้อย่างไร
ถึงวันนี้การอยู่ร่วมกันมิใช่โดยอาศัยเพียงแค่ความรักที่มีต่อกัน หรือความคิดที่ว่า ความรักเท่านั้นที่จะผูกพันชีวิตคู่ให้ยืนยาวได้ตลอดไป แต่ต้องประกอบด้วยหลายสิ่งหลายอย่างร่วมกันดังที่กล่าวมาแล้ว
การเรียนรู้และเข้าใจจิตเวทเรื่องเพศ ความเหมือนความต่างของเพศ การรู้จักใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน การปรับตัวเข้าหากันทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ มีความอดทน มีความเมตตากรุณาต่อกัน สิ่งเหล่านี้จะเป็นคุณค่าที่ดี ถูกต้อง และสร้างความเข้าใจอันดีตลอดไป
- ซิฟิลิส
ซิฟิลิสจัดเป็นโรคที่พบบ่อยอีกโรคหนึ่ง อาการที่พบ คือ แผลมีลักษณะสะอาด ก้นแผลเรียบ ติ่มน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต กดไม่เจ็บ ถ้าปล่อยทิ้งไว้เชื้อโรคจะลุกลามเข้าทางหลอดเลือด ทำให้มีไข้ ปวดหัว ปวดเมื่อยตัว คัดจมูก น้ำมูกไหล มีผื่นขึ้น (ออกดอก) ไม่คันไม่ปวด หากปล่อยทิ้งไว้อีก จะมีอาการซีด อ่อนเพลีย น้ำหนักตัวลด ผมร่วง และเชื้อลุกลามไปสู่อวัยวะอื่นๆ ได้ทั่วร่างกาย
การตรวจเลือดจะบอกได้แน่นนอนว่าเป็นซิฟิลิสหรือไม่ ส่วนใหญ่หญิงที่จะตั้งครรภ์ควรได้รับการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อซิฟิลิสก่อน เพราะเชื้อนี้สามารถติดต่อไปยังทารกในครรถ์ ทำให้ทารกพิการหรือเสียชีวิตได้
- เริม
โรคนี้เป็นๆ หายๆ ยังไม่มียาขนานใดที่จะรักษาเริมซึ่งเป็นเชื้อไวรัสให้หายขาดได้ อาการเริ่มแรกของโรคเริมจะเป็นตุ่มเล็กๆ ใสๆ แล้วแตกเป็นแผลเจ็บ หากมีการร่วมเพศในช่วยที่โรคกำเริบจะติดต่อไปสู่คู่สมรสได้ และถ้าแม่มีโรคเริมกำเริบที่ช่องคลอดขณะใกล้คลอดก็อาจติดทารกขณะคลอดได้ ทำให้ทารกเป็รโรคเริมขั้นร้ายแรงได้ แพทย์จะแนะนำให้ผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องแทน
- ตับอักเสบไวรัสบี
อันว่าตับอักเสบไวรัสบีนั้น เป็นโรคติดต่อหรือสามารถถ่ายทอดถึงลูกได้ โรคนี้อาจทำให้เกิดจับอักเสบชนิดเฉียบพลัน ตับอักเสบเรื้อรัง ในระยะยาวอาจทำให้โรคตับแข็ง มะเร็งตับ ส่วนเด็กที่ได้รับเชื้อตั้งแต่แรกเกิดอาจทำให้เกิดโรคตับอักเสบ มะเร็งของตับเมื่อเข้าสู่วัยกลางคน ผู้ติดเชื้อวัสตับอักเสบบีส่วนใหญ่จะหายและมีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้น แต่บางคนจะยังคงมีเชื้ออยู่ในร่างกายโดยไม่แสดงออก และเป็น “พาหะ” ที่จะแพร่เชื้อให้กับผู้อื่น
- เอดส์
โรคเอดส์เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และทางเลือดที่ร้ายแรง มีอันตรายถึงชีวิต และยังไม่มีวัคซีนป้องกัน หรือยาที่จะรักษาให้หายขาดได้ ไวรัสเอดส์เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะไปทำลายเม็ดเลือดขาวของร่างกายซึ่งทำหน้าที่คุ้มกันโรค ทำให้ภูมิคุ้มกันโรคเสื่อมลง ง่ายต่อการเกิดโรค ติดเชื้อแทรกแทรกช้อนและมะเร็งบางชนิด และสุดท้ายผู้ป่วยก็จะเสียชีวิตจากโรคแทรกช้อนเหล่านั้น สำหรับแม่ที่ติดเชื้อ อาจติดต่อถึงลูกขณะตั้งครรภ์ และเด็กมักจะตายในเวลาต่อมา จึงนับว่าเป็นโรคที่ร้ายแรง
- ธาลัสซีเมีย
จากการสำรวจพบว่า คนไทย 18 ล้านคนเป็นพาหะโรคนี้โดยไม่รู้ตัว! ธาลัสซีเมียเป็นโรคซีดชนิดหนึ่งที่เกิดจากเม็ดเลือดแดงผิดปกติ เกิดขึ้นโดยการถ่ายทอดจากพ่อและ/หรือแม่ทางกรรมพันธุ์ ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเหลีย ไม่เติบโตตามวัย เจ็บป่วยบ่อยๆ ซีด ตับ-ม้ามโต บางครั้งจำเป็นต้องให้เลือดบ่อยๆ ถ้าทั้งพ่อและแม่เป็นพาหะ โอกาสที่ลูกจะเป็นโรคแสดงอาการ (เป็นโรค) เท่ากับร้อยละ 25 หรือ 1 ใน 4 และมีโอกาสที่ลูกจะเป็นพาหะถึงร้อยละ 50 หรือ 1 ใน 2 ถ้าพ่อหรือแม่เป็นพาหะเป็นเพียงคนเดียว โอกาสที่ลูกจะเป็นเท่ากับร้อยละ 50 หรือ 1 ใน 2 โอกาสที่จะมีลูกปกติเท่ากับร้อยละ 50 หรือ 1 ใน 2 การซักประวัติครอบครัวและการตรวจเลือดด้วยวิธีพิเศษของแพทย์จะช่วยให้ทราบว่าเป็นพาหะของโรคนี้หรือไม่
- ปวดท้องเมนส์
ผู้หญิงหลายคนต้องพบกับความทุกข์ทรมานทุกๆ รอบเดือน แต่นั่งคงไม่กระไรนัก หากอาการปวดท้องเมนส์ยังเป็นเสมือน “ลางร้าย” สำหรับคนที่อยากมีลูกได้ในบางครั้งอีกด้วย รู้จักกับอาการนี้กันก่อนดีกว่า จะได้ไม่ต้องกลัวเกินเหตุ
ปวดท้องเมนส์คืออะไร
เป็นอาการปวดหน่วงๆ ถ่วงที่ท้องน้อยขณะมีรอบเดือน ปวดเป็นระยะๆ บางทีก็ปวดตลอด หรือปวดร้าวไปที่หลัง ต้นขา หรือสะโพก อาจรู้สึกปวดหรือถ่วงๆ บริเวณช่องคลอดและมดลูก บางครั้งจะมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดเมื่อยตามตัวทั่วไป เป็นไข้
ทำไมถึงปวด
มดลูกประกอบด้วยกล้ามเนื้อที่บีบรัดและคลายตัวได้เป็นจังหวะๆ ขณะมีรอบเดือนกล้ามเนื้อมดลูกจะบีบรัดตัวแรงกว่าในช่วงปกติ ทำให้รู้สึกปวดได้ การบีบรัดของกล้ามเนื้อมดลูกนี้เกิดจากการกระตุ้นของสารตัวหนึ่งที่ชื่อว่า พรอสตาแกลนดิน (Prostaglandins) ซึ่งมีอยู่ที่มดลูกและส่วนอื่นบางแห่งของร่างกาย หากมีการกระตุ้นทำให้บีบรัดตัวแรงๆ และบ่อยๆ ก็จะขัดขวางการไหลของเลือดที่เลี้ยงกล้ามเนื้อมดลูก เกิดภาวะขาดเลือดชั่วขณะทำให้เกิดความเจ็บปวดซึ่งก็คือ “ปวดท้องเมนส์”
การปวดท้องเมนส์มี 2 แบบ คือ ปฐมภูมิ (Primary) และทุติยภูมิ (Secondary dysmenorrhea)
แบบปฐมภูมิ พบได้บ่อยกว่า เป็นผลจากการบีบรัดตัวของมดลูก ไม่ถือว่าเป็นสิ่งผิดปกติ มักเริ่มต้นเป็นในวัยรุ่น หรืออาจจะเป็นในช่วงหลังจากคลอดบุตร เมื่ออายุมากขึ้น จะปวดน้องลงหรือเหมือนเดิม แต่บางทีก็เป็นมากขึ้น
แบบทุติยภูมิ ปวดท้องเมนส์ที่เป็นผลมาจากสาเหตุอื่น เช่น เนื้องอก ภาวะติดเชื้อ มีเลือดประจำเดือนตกค้างในอุ้งเชิงกราน หรือมีโรคของมดลูก ปีกมดลูก และรังไข่ มักเป็นหลังจากที่เคยมีประจำเดือนปกติมาก่อน ระยะเวลาปวดท้องอาจอยู่นานกว่า 2-3 วันตามปกติปวดท้องน้อยแบบนี้อาจปวดในช่วงอื่นที่มีไข่ช่วงระยะมีประจำเดือนก็ได้ หรือขณะมีเพศสัมพันธ์
สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่
1. โรคเยื่อบุมดลูกขึ้นผิดที่ (Endometriosis) อาจพบได้ที่อุ้งเชิงกราน รังไข่ ลำไส้ เมื่อถึงแต่ละรอบเดือนก็จะมีเลือดออดเหมือนเยื่อบุมดลูกที่อยู่ในโพรงมดลูกตามปกติ เลือดที่ออกจะสะสมรวมกันเป็นตุ่มเป็นก้อน บวมเจ็บ โรคนี้จะมีอาการปวดท้องเมนส์หลายๆ วันก่อนมีรอบเดือน บางครั้งก็มีเลือดออกกะปริดกะปรอย โรคนี้สัมพันธ์กับการมีบุตรยากและเจ็บปวดบริเวณช่องคลอดหรือท้องน้อยขณะมีเพศสัมพันธ์ด้วย
2. อุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflammatory Disease –PID) มักเป็นผลมาจากการอับเสบติดเชื้อกามโรค ปวดนานอยู่หลายวัน อาจเกิดก่อนหรือหลังมีรอบเดือนก็ได้
3. เนื้องอกของมดลูก (Leiomyoma)
4. ใส่ห่วงยางอนามัย อาจทำให้เกิดปวดท้องน้อยได้
ดังนั้นไม่ว่าคุณจะปวดท้องเมนส์แบบใดก็ตาม ขอแนะนำให้ไปปรึกษาแพทย์-สูตินรีแพทย์ อย่ามามัวอดทนทรมาน เสียการเสียงาน เสียความรู้สึกอยู่เลย แพทย์มีทางแก้ไขรักษาให้คุณ
- โรคปัญญาอ่อน
หากจะถามถึงสาเหตุของโรคปัญญาอ่อน (ดาวน์ซินโดรน) นั้น ก็คงยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน แต่อาจพอสรุปได้ว่ามีปัจจัยที่สัมพันธ์กับความผิดปกติของโครโมโซม คือ อายุของแม่ที่เพิ่มขึ้นจะเป็นสาเหตุที่สำคัญของการให้กำเนิดทารกที่มีลักษณะปัญญาอ่อน ดังนี้
แม่อายุ 20 ปี พบ 1 ต่อ 1,925
แม่อายุ 30 ปี พบ 1 ต่อ 85
แม่อายุ 35 ปี พบ 1 ต่อ 365
แม่อายุ 40 ปี พบ 1 ต่อ 110
แม่อายุ 45 ปี พบ 1 ต่อ 32
แม่อายุ 48 ปี พบ 1 ต่อ 16
โดยภาพรวมแล้วความพิการ-ปัญญาอ่อนเป็นผลจากโครโมโซนที่ผิดปกติ ปัจจุบันนี้การตรวจหาสาเหตุเมื่อมีความพิการ-ปัญญาอ่อนสามารถทำได้หลายๆ แห่ง เพื่อค้นหาสาเหตุและป้องกันมิให้เกิดภาวะดังกล่าวเกิดขึ้น ดังนั้น ควรมีการตรวจโครโมโซมในกรณีต่อไปนี้
1. มารดาที่ตั้งครรภ์เมื่ออายุเกิน 35 ปีขึ้นไป
2. เคยมีประวัติครอบครัวว่ามีคนในครอบครัวมีความผิดปกติ
3. ตัวเตี้ยมากเมื่อเปรียบเทียบกับพี่น้องคนอื่นๆ
4. การเจริญทางเพศช้าผิดปกติเมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มสาว
5. เพศหญิงที่ไม่เคยมีประจำเดือนเมื่อถึงวัยอันควร
- อ่าน 9,646 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้