สัก เจาะ กรีดผ่าลิ้น แฟชั่นอันตราย
แฟชั่นการสัก การเจาะ การกรีดผิวหนัง และการผ่าลิ้น กำลังเป็นที่นิยมของวัยรุ่นและผู้ใหญ่บางกลุ่มอาจมีอันตรายได้
ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่างคือ โรคเลือดออกไม่หยุดที่เรียกว่าฮีโมฟีเลีย โรคลิ้นหัวใจพิการ โรคผิวหนังแพ้และพุพอง ผู้ที่มีประวัติแพ้เครื่องประดับ (แพ้โลหะนิกเกิล) หรือผู้ที่เกิดแผลเป็นนูนโตที่เรียกว่าคีลอยด์ง่าย ควรงดเว้นการทำตามแฟชั่นเหล่านี้เพราะเสี่ยงต่อผลแทรกซ้อนสูง ถ้าหากใช้เครื่องมือที่ไม่สะอาด อาจเกิดการติดเชื้อโรคได้ เช่น เชื้อแบคทีเรีย ทำให้เป็นฝีหนอง โรคบาดทะยัก ไวรัสตับอักเสบ วัณโรคผิวหนัง ซิฟิลิส แม้กระทั่งโรคเอดส์ได้
พบว่าเข็มที่เผาไฟจนแดง ซึ่งเป็นอุปกรณ์ใช้สัก หรือเจาะ ก็ฆ่าเชื้อไวรัสตับอักเสบไม่ได้ ขณะนี้พบคนไทยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบสูงมาก ทำให้พบอัตราตายจากมะเร็งตับสูงตามไปด้วย ดังนั้นการสักที่ไม่สะอาดอาจนำไปสู่การเกิดมะเร็งตับได้
การเจาะนิยมทำที่ใบหู จมูก ปาก รวมถึงสะดือ เคยมีรายงานว่า วัยรุ่นที่นิยมไปเจาะจมูก จะทำให้เชื้อแบคทีเรียจากช่องจมูกซึ่งเป็นบริเวณที่สกปรกมากลอยไปติดที่ลิ้นหัวใจ ทำให้หัวใจอักเสบ หากมีก้อนเลือดก็อาจจะทำให้ก้อนเลือดและเชื้อโรคไปอุดตันหลอดเลือดในสมอง ทำให้เกิดฝีในสมอง มีอาการแขนขาอ่อนแรง
การสักการเจาะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ กระทำมาตั้งแต่ ๔,๐๐๐ ปีที่แล้ว แต่เป็นความเชื่อของแต่ละชุมชน ที่น่าเป็นห่วงคือปัจจุบันที่เราสักเจาะเพื่อแฟชั่น ซึ่งแน่นอนว่ามันจะเริ่มเสื่อม หรือคนที่สักเจาะเองอาจจะรู้สึกเบื่อ และเมื่อต้องการสมัครงานก็จะหันมาลบรอยสัก หรือเย็บปิดรอยเจาะ ซึ่งการแก้ไขดังกล่าวทำได้ยาก เสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าการสักเจาะหลายเท่าตัว
กรณีของการสักนั้น อาจใช้รูปลอกติดแทนก็ได้ ซึ่งอยู่ได้นานถึง ๗ วัน หรือใช้การเพ้นต์สีแทนการสัก ส่วนกรณีการเจาะ อาจใช้ตุ้มหูวงแหวนชนิดหนีบ หรือตุ้มหูแม่เหล็กแทนก็ได้ สำหรับผู้ที่ต้องการเจาะหู ต้องแน่ใจเรื่องความสะอาดของเครื่องมือ ถ้าใช้ตุ้มหูที่ทำด้วยเงินสเตอร์ลิง หรือสแตนเลส จะลดอาการแพ้ลงได้ ตุ้มหูโลหะทั่วไป ทองขาว และเงินเยอรมนี มีส่วนผสมของนิกเกิล ซึ่งทำให้แพ้ได้
ระยะนี้เริ่มมีกระแสข่าวเข้ามาว่าวัยรุ่นมีวิธีการตกแต่งร่างกายแบบใหม่ที่เพิ่มมาจากการสัก การเจาะหู เจาะจมูก เจาะสะดือ ก็คือการกรีดผิวหนังให้เป็นรอยแผลเป็นซึ่งเป็นวัยรุ่นตะวันตกและวัยรุ่นไทยบางคนเริ่มทำตามกระแสนี้บ้างแล้ว
การกรีดผิวหนังให้เป็นรอยแผลเป็น (scarification) ความหมายแต่ดั้งเดิมคือการใช้เข็มเล็กๆ จิ้มผิวหนังซ้ำกันหลายๆ ครั้ง เช่นเดียวกับการปลูกฝี แต่ขณะนี้วัยรุ่นกลับนำมาใช้เพื่อให้ผิวหนังเกิดแผลเป็นตามรูปร่างที่กำหนด ซึ่งจัดเป็นการเสริมความงามอย่างหนึ่ง
เทคนิคเสริมสวยโดยทำให้เกิดแผลที่ผิวหนังมีหลาย แบบ เช่น การใช้ความร้อน (นำเหล็กเผาไฟจนแดงนาบ ผิวหนัง) เรียกว่าการตีตรา เทคนิคนี้เดิมใช้กับสัตว์เลี้ยง ที่เป็นฝูงใหญ่ (เช่น วัว) เพื่อเป็นสัญลักษณ์ ปัจจุบันอาจใช้เครื่องจี้ไฟฟ้าหรือเลเซอร์ทำให้เป็นแผลได้
อีกวิธีก็คือ การใช้มีดผ่าตัดกรีดผิวหนัง เรียกว่าการกรีด โดยกรีดลึกลงไป ๑-๖ นิ้ว คือ ลึกถึงชั้นหนังแท้ ผ่านไปหลายวันจะเกิดแผลเป็นตามรอยกรีด
มีช่วงหนึ่งพบผู้ติดยาเสพติดที่มีรอยกรีดตนเองบริเวณที่ท้องแขนได้บ่อย ที่รุนแรงกว่านี้คือการแล่ผิวหนังออกมาเป็นชิ้นๆ รวมถึงการทำให้เกิดแผลเป็นโดยใช้น้ำกรดหรือด่างกัดผิวหนัง ใช้หัวเจียระไนเพชรหรือหัวสลักแก้วขัดผิวหนัง
วิธีเหล่านี้เริ่มแรกนิยมจำกัดเฉพาะกลุ่มผู้ที่ชอบทำให้ผู้อื่นเจ็บปวดและผู้ที่ชอบถูกทำให้เจ็บปวด และคนป่าบางเผ่า นอกจากนี้ก็มีผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตมักชอบสร้างแผลตามผิวหนังให้ตนเอง เรียกว่า โรคผิวหนัง ที่สร้างเอง ซึ่งจะมีแผลแปลกๆ ตามผิวหนังไม่เหมือนกับที่เกิดตามธรรมชาติ
ปัจจุบันมีการนำวิธีนี้มาใช้ตามร้านเสริมสวย แต่ที่สหรัฐอเมริกามีบางรัฐถือว่าผิดกฎหมาย บางรัฐก็ยังไม่ห้าม แต่ถ้าใช้เครื่องมือแพทย์ (เช่น การใช้เครื่องจี้ไฟฟ้าหรือเลเซอร์) เพื่อทำให้เป็นแผลโดยผู้ทำให้ไม่ได้เป็นแพทย์จะถือว่าผิดกฎหมาย แต่ถ้าให้แพทย์ทำแพทย์ก็จะไม่ทำให้เพราะไม่จำเป็นและอาจเกิดผลเสีย
การทำให้เกิดแผลเป็นบางตำแหน่ง เช่น ที่กลางหน้าอกและหลัง แผลมักปูดโปนผิดปกติ ทำให้เป็นคีลอยด์ บางคนเป็นสิวเม็ดเดียวที่หน้าอกไปบีบแกะ ก็ยังเกิดคีลอยด์ก้อนโตขนาดผลมะนาวจนถึงผลส้มตามมาได้ การทำให้เกิดแผลนี้ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่เป็นดังที่คิด แม้ผู้ที่ทำให้จะมีประสบการณ์เพียงใดเพราะถึงผู้ทำคนเดียวกัน กรีดแผลแบบเดียวกัน แต่รอยแผลเป็นของแต่ละคนจะต่างกัน และการแก้ไขรอยแผลเป็นก็ยากมาก เช่น ใช้การฉีดยาสตีรอยด์เข้าบริเวณแผล การฉายรังสี การจี้ด้วยความเย็นจัด การใช้แผ่นเจลปิด อย่างไรก็ดีแผลก็หายไม่สนิทซึ่งอาจมีผลกระทบตามมาภายหลังได้
นอกจากการทำให้เกิดแผลเป็นแล้ว ขณะนี้มีกระแสแฟชั่นวัยรุ่นต่างประเทศ โดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกา คือการผ่าลิ้นสองแฉก (tongue bifurcation หรือ tongue splitting ) โดยการผ่าจากปลายลิ้นไปทางโคนลิ้น ซึ่งนอกจากทำให้ดูแปลกแล้ว ยังเชื่อว่าช่วยเพิ่มรสชาติการจูบ และบางคนสามารถกระดกลิ้นทั้งสองแฉกนี้ไปคนละทางกันก็ได้ การผ่าลิ้นเช่นนี้ถือว่าผิดกฎหมายในบางรัฐของสหรัฐอเมริกา และห้ามทหารทำ ศัลยแพทย์ก็ไม่รับทำด้วยจึงต้องแอบทำกันเอง ซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อแทรกซ้อนและบางรายที่ฉีดยาชากันเอง ก็อาจแพ้ยาชาถึงเสียชีวิตได้
แฟชั่นเหล่านี้เป็นเพียงกระแสนิยม มาแล้วก็จากไป พบเสมอว่าผู้ที่ไปสัก เจาะ กรีด ผ่า ไม่นานก็เบื่อรูปรอยเหล่านั้น จะลบออกก็เสียค่าใช้จ่ายสูงและทำได้ยากมาก และก็มักลบออกไม่หมด ที่ทำงานหลายแห่งก็ไม่ต้อนรับคนที่มีรอยเหล่านี้ บางคนจะไปสมัครเป็นทหารก็ต้องมาลบรอยสักและเย็บปิดรอยเจาะหู แม้แต่ที่อาบน้ำสาธารณะหลายแห่งในญี่ปุ่นก็ไม่ให้คนมีรอยสักรอยเจาะใช้บริการ
ขอฝากว่า ผิวที่สะอาดเกลี้ยงเกลาตามธรรมชาติเป็นผิวที่สวยที่สุดอยู่แล้ว
- อ่าน 7,799 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้