• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

รักษ์หัวใจ ในที่ทำงาน

สมาพันธ์หัวใจโลก (World Heart Federation) องค์กรระดับโลกที่ทำหน้าที่รณรงค์ต่อสู้โรคหัวใจและอัมพาตให้แก่ชาวโลก ได้ถือเอาวันอาทิตย์สุดท้ายเดือนกันยายนของทุกปี เป็น "วันหัวใจโลก" ซึ่งได้เริ่มครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๓ ปีนี้จึงเป็นการครบรอบ ๑๐ ปีของการจัดงานวันหัวใจโลก


สำหรับปีนี้ "วันหัวใจโลก" ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓, World Heart Day: Sun 26th September 2010 คำขวัญวันหัวใจโลก คือ "รักษ์หัวใจ ในที่ทำงาน" "I  Work with Heart" โดยมูลนิธิหัวใจฯ สมาคมแพทย์โรคหัวใจฯ และชมรมฟื้นฟูหัวใจ โรงพยาบาล และเครือข่ายต่างๆ ก็ได้ร่วมจัดงานเนื่องในวันหัวใจโลกขึ้นในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดทั่วประเทศ โดยรณรงค์เรื่อง "รักษ์หัวใจ ในที่ทำงาน"

 

ความจริงที่ "คนไทย" ควรรู้เกี่ยวกับ "โรคหัวใจ" 
๑. ทำไมต้องหมั่นดูแลรักษาหัวใจ (รักษ์หัวใจ)? เพราะ..

 ♦ คนไทยตายจากโรคหัวใจขาดเลือดเพิ่มขึ้น
จาก ๗.๙ คนต่อประชากรแสนคน ในปี พ.ศ.๒๕๔๒ เป็น ๒๑.๒ คนต่อแสนคน ในปี พ.ศ.๒๕๕๑ 

 ♦ คนไทยป่วยจากโรคหัวใจขาดเลือดมากขึ้น
จาก ๘.๑ คนต่อประชากรแสนคน ในปี พ.ศ.๒๕๔๒ เป็น ๒๗๖.๘๓ คนต่อแสนคน ในปี พ.ศ.๒๕๕๑ (ข้อมูลสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข)
* คนไทย ๑,๐๐๐ คน จะมีผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจขาดเลือดอย่างน้อย ๒-๓ คน ทุกปี และจะมีคนตายจากโรคหัวใจขาดเลือด อย่างน้อย ๒ คนทุก ๑๐ ปี

♦ ปี พ.ศ.๒๕๔๘ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจตายหรือขาดเลือดเป็นสาเหตุการตายอันดับ ๔ ในผู้ชายไทย (ร้อยละ ๗.๓ ของการตายทั้งหมด รองจากอัมพาต เอดส์ อุบัติเหตุจราจร) และอันดับ ๒ ในผู้หญิงไทย (ร้อยละ ๘.๖ ของการตายทั้งหมดรองจากอัมพาต) (ข้อมูลโครงการพัฒนาคุณภาพสาเหตุการตายในประเทศไทย พ.ศ.๒๕๔๘-๒๕๕๑. (SPICES): จาก The Fourth National Health Examination Survey (NHES IV) report หน้า ๑๖๘)


๒. ที่ทำงานมีผู้ป่วยหรือตายจากโรคหัวใจไหม? เพราะ...
♦ คนไทยวัยทำงาน ๑,๐๐๐ คน เกือบทุกปี จะมีคนตายจากโรคหัวใจขาดเลือด ๑ คน

♦ คนไทยวัยทำงาน ๑,๐๐๐ คน ตายจากโรคหัวใจขาดเลือด ๑๕ คนในเวลา ๑๗ ปี 

♦ จากการศึกษาพนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ๓,๓๑๗ คน ตายจากโรคหัวใจขาดเลือด ๕๐ คน ในเวลา ๑๗ ปี (ร้อยละ ๑๔ ของการตายทั้งหมด) (Piyamitr Sritara. Angiology 2008;58:757)
 

๓. ทำไมคนไทยวัยทำงาน จึงป่วยหรือตายจากโรคหัวใจ เพิ่มขึ้น? เพราะ...

♦ คนไทยเป็นเบาหวาน ความดัน (โลหิตสูง) ไขมัน (ผิดปกติ) (สูบ) บุหรี่ และอ้วนพีมีพุง เพิ่มขึ้น (ปี พ.ศ.๒๕๔๗ ชายไทยมีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวตั้งแต่ ๒ ปัจจัยขึ้นไปร้อยละ ๒๘.๘ เพิ่มเป็นร้อยละ ๒๙.๔ ในปี พ.ศ.๒๕๕๒ ส่วนหญิงไทย เพิ่มจากร้อยละ ๒๑.๓ เป็นร้อยละ ๒๕.๒ ในปี พ.ศ.๒๕๕๒) (จาก NHES IV หน้า ๑๖๕)


๔. ทำไมต้องใส่ใจหัวใจในที่ทำงาน รอให้เป็นโรค (หัวใจ) ก่อน แล้วค่อยรักษาไม่ดีกว่าหรือ? 

♦ ไม่ดีแน่ เพราะ "ป้องกัน ดีกว่าแก้ ป่วยแล้วแก้ไม่ทัน" : ร้อยละ ๓๐-๕๐ ของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลัน "ตาย" ก่อนถึงโรงพยาบาล (Curr Opin Cardiol 2003;)

♦ คนไทยที่รอดตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันไปถึงโรงพยาบาล ร้อยละ ๑๗ ไม่ได้ออกจากโรงพยาบาล (ตายในโรงพยาบาล) (Suphot Srimahachota.J Med Assoc Thai 2007; 90 (Suppl 1):1-11)

♦ การลดปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจ (ก่อนป่วย) ช่วยยืดชีวิตคนอังกฤษ ได้มากกว่า การรักษาโรคหัวใจ (เมื่อป่วยแล้ว) ทุกอย่าง ประมาณ ๔ เท่า (Unal B. BMJ 2005;331:614-20)

♦ ค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยในการรักษาหลอดเลือดหัวใจตีบตัน กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ๑ รายในโรงพยาบาลรัฐบาลประมาณ ๔๖,๐๐๐ บาท แต่ถ้าต้องฉีดสีดูหลอดเลือดหัวใจและรักษา ค่าใช้จ่ายเพิ่มเป็นกว่า ๑๕๐,๐๐๐ บาท และค่าดูแลรักษาในปีแรก กว่า ๑๒๐,๐๐๐ บาท (Worachat Moleerergpoom. J Med Assoc Thai 2007;90 (Suppl 1):21-31. Pongchai Anukoolsawat. Thai heart J 2006;19 :132-143)


๕. ทำอย่างไร รักษ์หัวใจในที่ทำงาน

♦ สำหรับบุคลากรในองค์กร ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ด้วยการ
กินให้ดี

พืชสด กินผักมากกว่า ๒ ฝ่ามือต่อมื้อ ผลไม้สด ๑๕ คำต่อวัน

♦ ลดเกลือ

♦ หลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูป ปรุงแต่ง

♦ กินน้ำปลาไม่เกิน ครึ่งช้อนโต๊ะต่อมื้อ

♦ ลดกินเกลือโซเดียม ๑ ช้อนโต๊ะต่อวัน ลดอุบัติการณ์โรคหลอดเลือดหัวใจร้อยละ ๖-๙ ลดการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายร้อยละ ๗-๑๒ (Bibbins-Domingo K.. NEJM 2010;362:590-9)

♦ เนื้อน้อย ทุกๆ ๕๐ กรัมที่กินเนื้อสัตว์ปรุงแต่ง เพิ่มโอกาสโรคหัวใจร้อยละ ๓๗ (Circulation 2010;121:2271-83.)

♦ ด้อยมัน หลีกเลี่ยงไขมันชนิดทรานส์ (มาร์การีน ของทอดซ้ำ อบเบเกอรี) ลดกินไขมันอิ่มตัว (ไขมันสัตว์)

♦ น้ำตาลต่ำ กินน้ำตาลไม่เกิน ๖-๘ ช้อนชาต่อวัน ไม่เติมน้ำตาลในอาหาร เครื่องดื่ม

 
เดินให้ไว

♦ "เดินเร็ว ออกกำลัง ๑ ชั่วโมง อายุจะยืนขึ้น ๒ ชั่วโมง". (American Heart Association)

♦ เดินเร็ว ติดต่อกันนานกว่า ๑๐ นาทีต่อครั้ง ครึ่งชั่วโมงต่อวัน

♦ เดิน ๙,๙๙๙ ก้าวต่อวัน โดยใช้เครื่องนับก้าว (pedometer)


หายใจช้า

♦ หายใจช้ากว่า ๑๐ ครั้งต่อนาที ๑๕ นาทีต่อวัน ลดความดันโลหิตได้เท่ากับกินยาลดความดันฯ ๑ ชนิด

♦ เจริญสมาธิ หายใจช้า พาสุขคลายเครียด


สั่งลาพุง ชายไทยที่ใส่กางเกงเบอร์ ๓๖ นิ้วขึ้นไป หรือหญิงไทยเกิน ๓๒ นิ้ว ก็ถึงเวลาลดน้ำหนัก ลดรอบเอว โดย

♦ การลดอาหาร "แป้ง น้ำตาล หวาน มัน ทอด"

♦  ออกกำลังกาย มีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้น และ

♦ ลดความเครียด อารมณ์ซึมเศร้า ซึ่งเป็นสาเหตุ อร่อยเกิน สบายเกิน


มุ่งปรับพฤติกรรม
♦ หยุดสูบบุหรี่ และไม่ดมควันบุหรี่ อยู่ในที่อากาศบริสุทธิ์

♦ ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ (น้ำหนัก (เป็นกิโลกรัม) ไม่เกิน ๒๓ คูณ ส่วนสูงเป็นเมตร คูณ ส่วนสูงเป็นเมตร) ลดรอบเอวไม่เกิน ๙๐ เซนติเมตรในผู้ชาย ๘๐ เซนติเมตรในผู้หญิง

♦ ความดันโลหิตตัวบนไม่เกิน ๑๔๐ ตัวล่างไม่เกิน ๙๐ มิลลิเมตรปรอท

♦ น้ำตาลในเลือดหลังงดอาหาร ๘ ชั่วโมง ไม่เกิน ๑๐๐ มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร

 

 สำหรับองค์กร
มีนโยบาย ห้ามสูบบุหรี่ และไม่สนับสนุนให้สูบบุหรี่ในที่ทำงาน

มีนโยบาย ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สูบบุหรี่ หยุดสูบบุหรี่ ทั้งที่ทำงาน และที่บ้าน

มีนโยบาย สร้างเสริมสุขภาพในที่ทำงาน และจัดให้มีสถานที่ เวลา บุคลากรสร้างเสริมสุขภาพในที่ทำงาน เช่น

♦ มีการจัดจำหน่ายอาหารสุขภาพ ป้องกันโรค มีที่เก็บ และอุ่นอาหารที่ทำเองจากบ้าน

♦ ส่งเสริมการออกกำลังกาย กิจกรรมทางกาย ก่อน ระหว่าง หรือหลังทำงาน

♦ ส่งเสริมสนับสนุนเดินขึ้นบันไดแทนใช้ลิฟต์

♦ มีสถานที่จอดจักรยาน 


สร้างเสริมบรรยากาศการทำงานที่ผ่อนคลาย เอื้ออาทร ไม่เครียด

♦ มีเวลาพักระหว่างวัน และ กิจกรรมคลายเครียดในที่ทำงาน

♦ มีบริเวณอากาศบริสุทธิ์ และ เงียบสงบ สำหรับ บุคลากรในการผ่อนคลายความเครียด หรือ ปฏิบัติศาสนกิจ


 

ข้อมูลสื่อ

377-013
นิตยสารหมอชาวบ้าน 377
กันยายน 2553
บทความพิเศษ
นพ.สมเกียรติ แสงวัฒนาโรจน์