เช้าวันนั้นนักวิ่ง 61 คนเดินทางโดยรถบรรทุกออกจากหน้าที่ว่าการอำเภอแม่เสรียงสู่จุดปล่อยตัวที่อยู่ห่างออกไป 42 กิโลเมตรข้างหน้า รถใช้เวลาวิ่งประมาณ 2 ชั่วโมง และอีก 1 ชั่วโมงต่อมา นักวิ่งทั้งไทยที่ราบ ไทยภูเขาและพี่น้องชาวพม่าก็วิ่งหน้าตั้งออกจากจุดปล่อยตัวซึ่งตรงกับ 9 โมงเช้าพอดี
กว่าจะตะเกียกตะกายขึ้นมาจากจุดปล่อยตัวที่ลาดลงไปยังฝั่งน้ำสาละวินซึ่งความสูงคงไม่ต่ำกว่าตึก 5 ชั้นขึ้นมาได้ เพื่อนนักวิ่งส่วนใหญ่ก็ลับโค้งไปกันเกือบหมด กำลังนึกชมอยู่ในใจว่าพวกนี้ไม่รู้ไปเอาเรี่ยวเอาแรงกันมาจากไหน ผมก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเหลียวไปมองไอ้สิ่งที่เรียกว่าเป็นก้อนหินธรรมดาที่ผมเหยียบกระโดดข้ามน้ำไปยังไม่ทันจะพ้นก้าวพอดี ผมขยี้ตาตัวเองหลายครั้งด้วยความไม่แน่ใจ “หินอะไรของมันวะถึงเดินได้”
เมื่อก้มลงไปดูใกล้ๆจึงเห็นเจ้าของหินก้อนนั้นโผล่หัวและอีก 4 ขาออกมาเดินต้วมเตี้ยมต่อไป ผมคิดว่าคงจะเป็นการสมควรที่เจ้าเต่าดอยตัวนั้นจะด่าผมบ้าง
หันหลังไปดูทางวิ่งที่เพิ่งผ่านมา เมื่อไม่เห็นวี่แววใครเลย ผมก็เร่งฝีเท้าห้อเหยียดลุยข้ามห้วย กระโดดข้ามธารน้ำ แอ่งน้ำ สารพัดจะเสาะหามาสกัดกั้นการวิ่งของผมเกือบจะ 50 แห่ง ตลอดทางผมก็แซงเก็บตกพวกนักวิ่งนิยมธรรมชาติเกลียดการดูถูกทั้งเด็กชาย เด็กหนุ่มและเด็กเฒ่าที่วิ่งช้าลงไปเรื่อยๆ เส้นทางเริ่มเปลี่ยนจากชื้นร่มรื่นมาเป็นแห้งและร้อน มองไปข้างหน้า เนินซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ มีท้องฟ้าเป็นฉากกั้นอยู่ข้างหลังโดยแทบไม่มีโอกาสเห็นพื้นดินเบื้องล่างเลย นกหลายชนิดส่งเสียงให้กำลังใจกันขรม สองข้างทางยังคงมีไม้ใหญ่บ้างประปราย สลับกับบางแห่งที่ตอไม้ใหญ่ มีควันลอยกรุ่นขึ้นมาจนต้องกลั้นใจเมื่อวิ่งฝ่าเข้าไป สังเกตดูป่าหลายช่วงถูกเผาจนเกือบจะเตียนอย่างน่าเสียดายอดีตที่คงเคยร่มรื่นของมัน
ผมเริ่มรู้สึกปวดเข่าเมื่อวิ่งมาได้ประมาณ 3 ชั่วโมง ทางวิ่งที่ไม่ราบเรียบเพราะหลุมบ่อและสันดินทำให้การลงเท้าเป็นไปอย่างลำบาก สูงๆต่ำๆไม่สม่ำเสมอ พลังในการวิ่งลดลงไปอย่างฮวบฮาบ นึกถึงเรื่อง “ชนกำแพง” ที่คุณหมออุดมศิลป์เคยเขียนเตือนไว้ก็ไม่แน่ใจว่าจะโดนกับตนเองตอนใด เพราะที่เคยซ้อมมานั้นไม่เคยใช้เวลาวิ่งนานเกิน 3 ชั่วโมงเลย และสิ่งแวดล้อมในการฝึกก็แตกต่างกว่าในขณะที่กำลังวิ่งอยู่นี้มาก เนินแต่ละลูกข้างหน้าที่กำลังวิ่งไปถึงดูเหมือนว่ามันกำลังวิ่งมาหาผมมากกว่า มันหนักเหมือนกับว่าผมกำลังแบกเนินนั้นไว้บนร่างทั้งร่าง
นาฬิกาบอกเวลาบ่ายโมงตรง ผมวิ่งมา 4 ชั่วโมงแล้วโดยไม่รู้ว่าอีกเมื่อไหร่จะถึงจุดหมาย ผมเริ่มกังวลใจเพราะไม่รู้ว่ากำลังในร่างกายจะหมดเมื่อใด แม้จะไม่วิ่งเร็วเท่านักวิ่งทีมชาติและกีฬาเขตที่วิ่งนำอยู่ข้างหน้า 3-4 คน แต่ความมั่นใจในตนเองก็ลดลงไปอย่างมาก นี่แหละที่เขามักจะเตือนกันว่า “วิ่งเก่งอยู่ที่การฝึกซ้อม วิ่งแข่งให้ดีอยู่ที่แผนและกำลังใจ”
ยิ่งคิดไปก็ยิ่งฟุ้งซ่านเปะปะไปเรื่องอื่นๆที่ประดังเข้ามาสู่สมอง ซึ่งยิ่งบั่นทอนพลังในการวิ่งทำให้ต้องเริ่มวิ่งสลับกับเดิน แรกๆก็เดินขึ้นเนินและวิ่งลง หนักๆเข้าก็พัฒนาเป็นเดินโดยไม่รังเกียจว่าจะเป็นการขึ้นหรือลง สุดท้ายก็ใช้วิธีที่คิดว่าประหยัดพลังงานที่สุดคือ วิ่งร้อยเมตรสลับกับเดิน ช่วงนี้เหงื่อตามเนื้อตัวที่เคยพรั่งพรูออกมาก็เหือดแห้งไปเฉยๆโดยไม่ทราบสาเหตุถึงสองครั้ง อาจจะเป็นเพราะกลไกทางชีวเคมีในร่างกายกำลังหาทางแก้ไขปัญหาให้กับเจ้าของร่างอยู่อย่างวุ่นวาย ความกลัวเรื่อง “ลมแดด” (HEAT STROE) แวบเข้ามาในความคิด หากหมดสติล้มลงไปตอนนี้คงได้ “กลับบ้านเถอะลูก” แน่ครับป๋า
เมื่อพ้นเขตภูเขา ภูมิประเทศก็เปลี่ยนความเก๋ให้เห็นไปอีกแบบคือไม่มีต้นไม้ใหญ่แม้แต่ต้นเดียว อากาศยิ่งร้อนหนักขึ้นเพราะใกล้จะบ่าย 2 โมงแล้ว ทำอย่างไรผมจึงจะวิ่งไปถึงจุดหมายให้เร็วและประหยัดพลังงานให้มากที่สุด
ผมวิ่งตุปัดตุเป๋ผ่านช่วงนี้มาได้ก็พบกับชาวบ้านกำลังทำอะไรไม่รู้อยู่กลุ่มใหญ่ เมื่อวิ่งไปใกล้ๆก็เห็นเจ้าหน้าที่ประจำจุดให้น้ำอยู่แถวนั้นด้วย เข้าใจว่า เป็นจุดให้น้ำจุดสุดท้ายจากจำนวนทั้งหมด 10 จุด ผมสอดสายตาไปรอบๆ โดยไม่ยอมใจอ่อนสบสายตาสาวชาวบ้านสวยๆที่โปรยยิ้มหวานส่งมาให้ แต่วิ่งลุยพรวดเข้าไปในกลุ่มชาวบ้านที่แตกฮือเผ่นไปคนละทิศละทางเข้าไปยังบ่อน้ำที่เห็น คว้ากระป๋องที่ชาวบ้านเพิ่งตักขึ้นมาวางไว้ข้างๆบ่อได้ ผมก็ราดน้ำโครมลงไปให้น้ำพรั่งพรูลงมาจากหัวถึงเท้า ท่ามกลางเสียงหัวเราะของชาวบ้านรอบๆ สำหรับผมแล้วน้ำกระป๋องนั้นมันลดความร้อนที่คล้ายกับว่าจะลุกโชนอยู่ข้างในและมีเปลวไฟลามเลียอยู่รอบนอกตัวผมให้คลายลงไปได้บ้าง
ผมออกวิ่งต่อจนเสื้อผ้าเริ่มแห้งจึงพบถนนลาดยาง สองข้างทางมีชาวบ้านมายืนดูเป็นระยะๆ ช่วงนั้นเป็นช่วงสงกรานต์ ผมจึงได้พนมมือไหว้รับน้ำที่ยื่นมาให้ดื่มและราดตัวผม พร้อมคำอวยชัยให้พรตลอดเวลาเป็นระยะๆ ผมมองใบหน้าชาวบ้านที่ผ่านมาเหล่านั้นอย่างเต็มตาเพื่อเก็บไว้ในความทรงจำตลอดชีวิต เพราะเขาเหล่านี้ไม่ใช่หรือที่เป็นผู้ปลูกข้าว ปลูกผัก ผลไม้ให้ผมได้มีเนื้อมีหนังมีชีวิตเติบโตขึ้นมา มีพลังงานมาปรากฏตัวเคลื่อนไหวอยู่ต่อหน้าเขาขณะนี้ และผมก็กำลังวิ่งผ่านเขาไปกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าสู่เส้นชัย...ใช่...วันนี้มันอาจจะเป็นเส้นชัยสำหรับผมเพียงคนเดียว แต่ในส่วนลึกของจิตใจผมก็เปี่ยมด้วยความหวังและความเชื่อมั่นว่า วันหนึ่งข้างหน้าที่ไม่อยากให้นานนัก หากผู้ใหญ่เราให้โอกาสและสนับสนุนเช่นนี้ต่อไป ชาวบ้านและลูกหลานของเขาเหล่านั้นคงจะได้มาออกกำลังเพื่อสุขภาพเคียงบ่าเคียงไหล่กันถ้วนหน้าด้วยความสามัคคี เพื่อความเป็นคนและสังคมใหม่ที่ดีมีสุขและครบครันกว่าปัจจุบัน
ผมวิ่งมาตามถนนในตัวอำเภอสู่เส้นชัยด้วยสมาธิ สงบ เยือกเย็นในหัวใจ ผู้จัดบอกล่วงหน้าไว้แล้วว่ามีรางวัลตอบแทนให้กับนักวิ่งทุกคน แต่ผมต้องรีบเก็บของยังที่พักและเดินทางกลับบ้านทันที
ผมได้ให้รางวัลกับตนเองแล้วทั้งทางร่างกาย จิตใจ และปัญญาทุกครั้งที่ผมเข้าร่วมวิ่งแข่งรวมทั้งการวิ่งทรหดครั้งยิ่งใหญ่นี้ด้วย