• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

ปราณี ประแป้ง

เรื่องราวที่ผู้คนให้ความสนใจด้านการรักษาพยาบาลที่มักจะพบว่ามีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นเสมอๆ บางเรื่องเป็นเรื่องที่ฟังแล้วพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เช่น ที่ต่างประเทศมีการผ่าตัดขาผู้ป่วย แต่บังเอิญไปผ่าผิดข้าง ซึ่งก็ไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้น ความจริงโรคอยู่ขาข้างหนึ่ง แต่ทำไมถึงไปผ่าอีกข้างหนึ่ง แทนที่จะหายหรือดีขึ้นแต่ทำให้แย่ลงไป เลวร้ายกว่าเดิม

ถ้าลองมาสมมุติเล่นๆ ว่าคนหนึ่งป่วย แต่อีกคนหนึ่งปกติ ไม่ป่วย ถ้าเรารักษาผู้ป่วย ก็ไม่หายป่วย แต่ถ้าเรารักษาคนปกติ แต่ผู้ป่วยกลับหายป่วย มันคงแปลกดีนะ หรือจะเอาให้ชัดขึ้นก็คือผู้ป่วย เป็นแม่ แต่คนไม่ป่วยเป็นลูก เรารักษาลูกแล้วทำให้แม่หายป่วย มันจะเป็นไปได้ไหม

เหตุเกิดที่ห้องตรวจเบอร์ 22 อีกนั่นแหละ วันนั้นเป็นวันอังคาร ช่วงเช้าเป็นคลินิกผู้ติดเชื้อเอดส์ จะมีผู้ป่วยเอดส์มาตรวจและรับยาหลายราย ซึ่งส่วนใหญ่ก็อาการดีขึ้น อ้วนท้วนสมบูรณ์แข็งแรงเมื่อมองดูโดยภายนอก และเมื่อดูละเอียดโดยเฉพาะดูจำนวนเม็ดเลือดขาวชนิดดี ที่เรียกว่าซีดีโฟร์ (CD4) ก็จะพบว่ามีจำนวนเม็ดเลือดขาวซีดีโฟร์เพิ่มขึ้น บางคนเพิ่มขึ้นช้าบางคนเพิ่มขึ้นเร็วแตกต่างกัน ส่วนใหญ่ก็จะเพิ่มขึ้น แต่มีผู้ป่วยหญิงรายหนึ่งชื่อปราณี หญิงม่าย วัย 48 ปีกลับตรงกันข้าม

ปราณีมาตรวจตามนัดหลังรับยาต้านไวรัสเอดส์ได้เกือบ 5 ปีแล้ว และเป็นผู้ป่วยที่ดีตั้งใจกินยาสม่ำเสมอ มาตามนัดทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการตรวจเลือด หรือกิจกรรมกลุ่มที่ทางคลินิกจัดขึ้น

ผมพบว่าเธอดูซูบๆ หน้าตาหม่นหมอง ไม่สดชื่น น้ำหนักลดไป 1-2 กิโลกรัม ใน 2-3 เดือนที่ผ่านมา เมื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียด ก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติ มีเพียงน้ำหนักที่ลดลงและหน้าตาไม่สดชื่น อมทุกข์ (ซึ่งผิดปกติกับผู้ป่วยนัดรายอื่นที่แม้ว่าทุกคนจะทราบว่าตัวเองติดเชื้อเอดส์ แต่เมื่อยอมรับได้ และตั้งใจรักษา โดยปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และพยาบาล ก็มักจะมีอาการดีขึ้น

หน้าตาที่เคยอมทุกข์เพราะโกรธ เกลียด แค้น โมโหคนอื่นหรือตัวเอง ก็จะกลับมาสดใสขึ้น หรือทุกข์น้อยลง เพราะเริ่มให้อภัยผู้อื่น และให้โอกาสตัวเองที่จะปรับปรุงแก้ไข) และเมื่อดูผลซีดีโฟร์ก็พบว่า 2 ครั้งหลังลดลง

ปราณียืนยันกับผมว่าเรื่องการกินยาไม่มีปัญหา เธอกินยาสม่ำเสมอดี และเมื่อผมสอบถามถึงสาเหตุที่หน้าตาไม่สดชื่น ก็ทราบว่าเธอกำลังกลุ้มใจเรื่องลูกสาวของเธอ

ปราณีเล่าต่อพร้อมหน้าตาที่คล้ายๆ คนกำลังจะร้องไห้ว่า ตั้งแต่สามีเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน ทิ้งให้เธอใช้ชีวิตอยู่ 2 คนกับลูกสาว เธอก็ตั้งใจเลี้ยงลูกสาวให้ดีที่สุด เพราะถือว่าเป็นสิ่งเดียวที่เธอพอยึดให้เป็นกำลังใจในการต่อสู้ชีวิตกับโรคร้ายได้ แต่การที่เธอตามใจลูกมากเกินไป และกลัวลูกจะลำบาก เธอจึงประคบประหงมลูกสาวอย่างมาก จนลูกสาวตามใจตัวเอง เอาแต่สบายไม่เคยลำบาก ไม่ช่วยเหลือตัวเอง แม้กระทั่งขณะนี้อายุ 17 ปีแล้ว ยังให้แม่ซักชุดชั้นในให้

เมื่อฟังถึงตรงนี้ผมต้องหยุดตั้งสติ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะผมต้องมาทบทวนตัวเอง เนื่องจากผมเองก็มีลูกสาวคนเดียวเหมือนปราณี และผมกำลังจะทำร้ายลูกสาวผม "พ่อแม่รังแกฉัน" เหมือนปราณีอยู่หรือเปล่า? เริ่มมีน้ำตาไหลอาบแก้มของปราณี เมื่อเล่าต่อว่าลูกสาว ต้องการไปกินข้าวนอกบ้าน อยากได้โน้ตบุ๊ก อยากใส่สร้อยทอง ครั้งหนึ่งเคยเอาสร้อยทองที่แม่มีอยู่มาลองสวมใส่ข้อมือ และขอแม่เพื่อจะใส่ไปวิทยาลัย

อ้อ! ผมลืมบอกไป ลูกสาวของปราณี ชื่อน้องแป้ง เรียนอาชีวศึกษาเอกชน ชั้น ปวช.ปี 2 แต่แม่ก็บอกว่าไม่ควรเอาไปเพราะจะเกิดอันตราย น้องแป้งไม่พอใจ ขว้างทองใส่ปราณี ยังไม่นับคำพูดที่ปราณีเคยเตือนว่า การออกไปกินข้าวนอกบ้าน หรือใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นนั้น เป็นสิ่งไม่สมควร แม้ว่าแม่จะมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง ก็หวังไว้ใช้ยามจำเป็น แต่น้องแป้งก็ทำให้ปราณีเจ็บปวดมากด้วยคำพูดที่ว่า "แม่มีเงินเอาไว้ใช้ตอนมีชีวิตอยู่เดี๋ยวตายไปแม่ก็ไม่ได้ใช้"

น้ำตาปราณีพรั่งพรูออกมาดุจห่าฝนช่วงเข้าพรรษา ผมหยิบกระดาษยื่นให้ปราณีซับน้ำตา และปลอบใจปราณี พร้อมกับบอกว่าให้ปราณีพาน้องแป้งมาพบผมพรุ่งนี้ได้ไหม ปราณีตอบว่าได้ เพราะว่าเป็นช่วงปิดเทอมพอดี ผมจึงนัดปราณีและน้องแป้งพรุ่งนี้เช้า

เช้าวันพุธเวลา 11.00 น.ปราณีมาพร้อมกับน้องแป้ง เมื่อพร้อมกันในห้องตรวจแล้ว ผมได้ถามคำถามโง่ๆ คำหนึ่งกับน้องแป้งว่า "น้องแป้งรักแม่ไหม"

น้องแป้งตอบว่า "รัก"

ผมพูดต่อว่า "เมื่อรักแล้วอยากให้แม่สุขภาพแข็งแรง และอยู่กับแป้งนานๆ ใช่ไหม"Ž

น้องแป้งตอบว่า "อยากให้แม่หายป่วยและอยู่นานๆ"

ผมยิงคำถามต่อว่า "เมื่อน้องแป้งรักแม่อยากให้แม่แข็งแรงสุขภาพดี ทำไมน้องแป้งถึงต้องทำร้ายแม่ด้วยเล่า น้องแป้งรู้ไหมอาการแม่ขณะนี้เป็นอย่างไร น้ำหนักและระดับเม็ดเลือดขาวลดลง เป็นสัญญาณว่าแม่น้องแป้งไม่ตอบสนองต่อยา อาการของแม่เริ่มทรุดลง แย่ลง เริ่มจะมีโรคแทรกซ้อน และอาจจะอยู่กับน้องแป้งได้ไม่นาน" เมื่อผมพูดถึงตรงนี้ ผมเห็นน้องแป้งหน้าเสีย เบะหน้าเหมือนจะร้องไห้
น้องแป้งถามผมว่า "เพราะอะไรหรือคะคุณหมอ" ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง น้ำตาเริ่มอาบสองแก้ม ทั้งของปราณีและน้องแป้ง ผมบอกน้องแป้งว่า "ตั้งใจฟังดีๆ นะ

แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง
ที่เฝ้าหวงห่วงลูกแต่หลังเมื่อยังนอนเปล
แม่เราเฝ้าโอละเห่
กล่อมลูกน้อยนอนเปลไม่ห่างหันเห ไปจนไกล
แต่เล็กจนโตโอ้แม่ถนอม
แม่ผ่ายผอมย่อมเกิดจากรักลูกปักดวงใจ
เติบโตโอ้เล็กจนใหญ่ นี้แหละหนาอะไร
มิใช่ใดหนาคือค่าน้ำนม

แม้ว่าแม่จะตั้งใจกินยาที่หมอบอกอย่างสม่ำเสมอ ก็ตาม แต่คนเราประกอบด้วย 2 ส่วนคือส่วนกายกับส่วนใจ การที่แม่ตั้งใจกินยาก็เป็นการช่วยส่วนกาย หรือช่วยเซลล์ของร่างกายให้ทำงานได้ดีขึ้น แต่ส่วนใจหรือจิตใจของแม่นั้น นอกจากไม่ได้รักษาให้เป็นปกติแล้ว ยังถูกกระทำหรือถูกทำร้าย และคนที่ทำร้ายแม่ปราณีได้เจ็บปวดที่สุดก็ไม่พ้นลูกสาวตัวเอง ที่แม่รักและห่วง เป็นความหวังมากที่สุด น้องแป้งลองทบทวนดูว่าช่วงที่ผ่านมาน้องแป้งทำอะไรให้กับแม่บ้าง พูดอะไรกับแม่บ้าง สร้อยข้อมือทองคำที่หวุดหวิดโดนหน้าของแม่ คำพูดที่ว่าแม่มีเงินใช้ตอนมีชีวิต ตายแล้วไม่ได้ใช้นั้นหลุดออกจากปากของคนเป็นลูกได้อย่างไร แทนที่จะเห็นว่าแม่ป่วยไม่สบาย ก็ช่วยแม่ทำงาน ซักผ้าถูบ้าน ทำกับข้าวให้แม่ เมื่อแม่กลับมาจากทำงาน จะได้พักผ่อนบ้าง เป็นสิ่งที่ลูกควรทำเพื่อตอบแทนพระคุณที่แม่ได้เลี้ยงดู ให้การศึกษา เป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณ นอกจากน้องแป้งไม่ทำแล้วยังทำร้ายแม่ด้วยคำพูดและการกระทำ มันเหมาะสมแล้วหรือ"Ž

น้องแป้งก้มหน้านิ่ง ยังคงร้องไห้ ซบอยู่กับตักของปราณี
ผมมองปราณีลูบศีรษะ ลูกสาวเป็นเชิงปลอบประโลม และให้สติ แล้วปล่อยให้เวลาผ่านไปสักครู่หนึ่ง ผมจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะเบาว่า "เมื่อรู้สึกเสียใจและคิดได้แล้วคงไม่มีอะไรที่สายเกินแก้ เมื่อทำผิดกับแม่แล้ว ขอโทษขออภัย ปรับปรุงตัวใหม่ ไม่มีแม่คนไหนหรอกที่ไม่ให้โอกาส โดยเฉพาะกับลูกตัวเอง"Ž

เมื่อผมพูดจบน้องแป้งได้เงยหน้าที่ซบออกจากตักของปราณี แล้วพนมมือกราบลงที่หน้าอกของปราณี พร้อมกับพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า "แม่ หนูกราบขอโทษแม่ หนูรักแม่" พร้อมกับน้ำตาที่ทะลักออกมาทั้งแม่ทั้งลูกต่อหน้าผม จนผมต้องพยามข่มอารมณ์ไว้เพราะผมเผลอไปคิดถึงแม่ของผมที่ล่วงลับไปแล้วก่อนที่ผมจะเรียนจบแพทย์ เมื่อปรับอารมณ์ได้แล้ว ผมจึงบอกให้ปราณีและน้องแป้งปรับความเข้าใจกันต่อหน้าผม

สักครู่หนึ่งผมจึงบอกต่อไปว่า "ทุกอย่างผ่านไปแล้ว ขอให้เริ่มแก้ไขและทำให้มันดีที่สุดในวันนี้ เมื่อรู้ว่า อะไรควรทำต่อแม่ กลับไปถึงบ้าน เริ่มต้นที่งานบ้าน ซักผ้าตัวเองและของแม่ แม้จะทำกับข้าวยังไม่เป็นก็ให้แม่สอนให้ หัดทำด้วยกันจะได้เรียนรู้ ไม่อร่อยก็ไม่เป็นไร ทำเองกินเองเดี๋ยวก็เป็นเอง และควรใช้จ่ายอย่างประหยัด เพราะเศรษฐกิจปัจจุบันเงินหายาก เรื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กนั้นก็ให้กลับไปพิจารณาว่าจำเป็นมากน้อยแค่ไหน หากจำเป็นต่อการเรียนการสอนก็พิจารณา แต่ไม่ใช่เอา มาเล่นเกม เล่นอินเทอร์เน็ต คงไม่คุ้มค่าเงินแม่ที่เสียไป" ก่อนกลับ น้องแป้งได้รับปากกับแม่ต่อหน้าผมว่าจะพยายามทำให้ได้อย่างที่แม่ได้สอนและผมได้แนะนำไป

อีก 1 เดือนต่อมา ปราณีมาพบผมตามนัด แต่ครั้งนี้มีรอยยิ้ม ยิ้มมาแต่ไกลเมื่อเห็นผม ปราณียกมือไหว้ พร้อมกับบอกว่า "น้องแป้งช่วยงานบ้านและทำกับข้าวเป็นแล้ว" โดยที่ผมยังไม่ทันเอ่ยปากถามเลย เมื่อเข้ามาในห้องตรวจปราณีรีบบอกว่า "น้ำหนักขึ้น 2 กิโลค่ะ"

ผมตอบไปว่า "ระวังจะอ้วนเกินนะครับ"

ปราณียกมือไหว้ผมอีกครั้งแล้วบอกว่า "ต้องขอบคุณคุณหมอที่ช่วยให้น้องแป้งดีขึ้น ซักผ้าของตัวเอง และของแม่ หัดทำกับข้าว ซึ่งก็พอทำได้ และบอกว่าไม่ซื้อคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กแล้ว" ผมจึงนัดตรวจครั้งต่อไปอีก 2 เดือน พร้อมกับเจาะเลือดหาระดับซีดีโฟร์ต่อไปครับ

คุณๆ ลองทายดูสิว่าซีดีโฟร์ของคุณปราณีจะขึ้นหรือลง?

 

ข้อมูลสื่อ

362-006
นิตยสารหมอชาวบ้าน 362
มิถุนายน 2552
อื่น ๆ
นพ.ปรีชา สิริจิตราภรณ์