• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

น้ำผื้ง


โดยทุกคนย่อมรู้ซึ้งถึงคุณค่าของน้ำผึ้ง เพราะนับแต่อดีตจวบจนปัจจุบันมีแต่น้ำผึ้งเท่านั้นที่นับได้ว่าเป็นหนึ่งในจำนวนไม่กี่สิ่งที่มนุษย์ทุกภาษายอมรับว่าเป็น “ยาอายุวัฒนะขนานแท้” ในศตวรรษที่ 16-17   เชื่อกันว่า น้ำผึ้งเป็น “โอสถสาร” ขนานวิเศษที่รักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ทุกชนิด โดยข้อเท็จจริงแล้ว น้ำผึ้งแท้และบริสุทธิ์เท่านั้นที่มีคุณสมบัติเป็น “ยาอายุวัฒนะ” ได้ และน้ำผึ้งก็เป็นโอสถขนานวิเศษรักษาโรคบางโรคได้ดีเยื่ยมอย่างน่าอัศจรรย์


⇒ น้ำผึ้งคืออะไร
น้ำผึ้งเป็นของเหลวมีรสหอมหวานที่ ผึ้งงาน สร้างขึ้นมา มีลักษณะเข้มข้มจนเหนียวหนืด ได้มาจากรวงผึ้งที่เป็น “แผ่นน้ำหวานปิด” สีของน้ำผึ้งมีเฉดของสีต่างกันระหว่างสีเหลืองอ่อน เขียวเข้ม และน้ำตาลอ่อน-แก่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของเกสรดอกไม้ และเกลือแร่จากดินและน้ำที่ผึ้งอาศัยอยู่ น้ำผึ้งมีลักษณะโปร่งแสง น้ำผึ้งที่ได้จากน้ำหวานและเกสรดอกไม้บางชนิด ทิ้งไว้นานน้ำตาลกลูโคสจะตกผลึกได้

ผึ้งงานสร้างน้ำผึ้งโดยการบินไปเก็บน้ำหวาน จากต่อมน้ำหวานของดอกไม้ โดยผึ้งงานจะใช้งวงดูดน้ำ
หวานมาผสมกับน้ำย่อยแล้วเก็บไว้ในกระเพาะพัก ระหว่างทางที่บิน พลังงานความร้อนจากร่างกายจะ
ช่วยเร่งให้น้ำตาลกลูโคสในน้ำหวานแปรสภาพเป็นน้ำตาลที่มีอณูเล็กกว่าและมีประโยชน์มีคุณค่ามาก
กว่า คือ น้ำตาลกลูโคส และน้ำตาลฟรักโทส ซึ่งร่างกายของมนุษย์และสัตว์สามารถดูดซึมใช้เป็นพลัง
งานได้ในทันที
เมื่อผึ้งงานบินมาถึงรังก็จะคายน้ำหวานซึ่งแปรสภาพแล้วมาเก็บไว้ในห้องรังผึ้ง  และผึ้งจะกระพือปีก
ระเหยน้ำที่อยู่ในของเหลวผสมออกจนได้ของเหลวเข้มข้น จนเหนียวหนืดมีน้ำเหลืออยู่ประมาณ 17-18
เปอร์เซ็นต์ ผึ้งงานก็ดูดของเหลวเข้มข้นที่ได้ที่แล้ว นำไปเก็บไว้ในห้องพิเศษซึ่งเป็นห้องเก็บอาหาร
สำรองโดยเฉพาะเราจะเห็นเป็นยวงหนาอยู่ด้านบนของรวงรัง เมื่อผึ้งงานขนอาหารสำรองมาเก็บไว้จน
เต็มห้องพิเศษแล้ว ก็จะสร้างขี้ผึ้งมาปิดห้องนั้นไว้เพื่อจะได้ถนอมอาหารพิเศษนั้นไว้ได้นาน ๆ อาหารพิเศษ ที่เป็นของเหวลวเข้มข้นจนเหนียวหนืดอันนี้แหละ คือ “น้ำผึ้งแท้” ที่มีคุณภาพดีจริง ๆ


⇒ ส่วนประกอบของน้ำผึ้ง
1. น้ำตาล
เป็นน้ำตาลที่แปรสภาพแล้วมีกลูโคส กับ ฟรักโทส เป็นส่วนใหญ่ ในน้ำผึ้งมีน้ำตาลชนิดนี้ถึง
  75-80% สิ่งมีชีวิตจะใช้น้ำตาลชนิดนี้เป็นตัวสร้างพลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกาย

2.โปรตีนและไขมัน
จะมีในน้ำผึ้งจำนวนน้อยอยู่ในรูปเกสรดอกไม้และเกสรดอกไม้ที่แปรรูปแขวนลอย
อยู่ในรูปโมเลกุลที่เล็กที่สุด คือเป็นพวกเปปไต อะมิโนเอซิค และกรดไขมันซึ่งร่างกายนำมาใช้ทำประโยชน์ได้ทันที

3.วิตามินและเกลือแร่ ในน้ำผึ้งจะมีวิตามินรวมและเกลือแร่ที่จำเป็นแก่ร่างกายอย่างครบครัน และมีปริมาณที่เหมาะสมที่สุดในการบำรุงร่างกาย

4. เภสัชการบางอย่าง ฯลฯ เช่น เดรกติน เป็นสารที่ให้ความชุ่มชื้นแก่เยื่อบุผิวต่างๆ น้ำย่อยซึ่งจะช่วยย่อยนมและโปรตีนบางอย่าง สเตอรอยด์สเตอรอล ซึ่งร่างกายนำมาใช้เป็นฮอร์โมนได้


⇒ คุณประโยชน์ของน้ำผึ้งแท้
ก.คุณค่าทางอาหาร
จะให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกายสูง บำรุงกล้ามเนื้อให้แข็งแรง บำรุงประสาทและสมองให้สดชื่นแจ่มใส เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กอ่อน คนสูงอายุ ผู้ที่ทำงานหนัก ตลอดจนผู้ป่วยในระยะพักฟื้นด้วยโรคต่างๆ  กิน ½ - 1ช้อนโต๊ะ ตอนเช้า และก่อนนอนทุกวัน
สำหรับผู้ที่อดนอน เคร่งเครียดทำงานหนัก อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ใช้น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะผสมน้ำผลไม้ดื่ม จะทำให้สดชื่นมีเรี่ยวแรงแเข็งขัน และมีความคิดแจ่มใส

ข.คุณค่าทางยารักษาโรค
1.ยาอายุวัฒนะ ทำให้ร่างกายสดชื่น แข็งแรง จิตใจแจ่มใส กิน 1/2 - 1 ช้อนโต๊ะ เวลาเช้าและก่อนนอนเป็นประจำทุกวัน

2. นอนไม่หลับ – มีความเครียดทางประสาทสูง ใช้งาดำคั่วบดให้แหลกขนาด 1/2 ช้อนชา ผสมน้ำผึ้ง ½ - 1 ช้อนโต๊ะ กินก่อนเข้านอนเป็นประจำจะทำให้หลับสบาย

3. ท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ใช้น้ำขิงต้มให้เข้มข้น ประมาณครึ่งถ้วย (เพื่อความสะดวกจะใช้ผงขิงแห้งชงน้ำร้อนแทนก็ได้) ใส่เกลือเล็กน้อยผสมน้ำผึ้ง ½-1 ช้อนโต๊ะ กินวันละ 3 เวลา หลังอาหาร

4. เด็กอ่อนที่มีอาการแหวะนมหรืออาเจียน (เนื่องจากนมหรืออาหารไม่ย่อย) ใช้น้ำผึ้ง ½-1 ช้อนชาผสมนมให้เด็กกินเป็นประจำ จะแก้อาการได้เป็นอย่างดี เพราะในน้ำผึ้งมีน้ำย่อย ช่วยนมและอาหารได้เป็นอย่างดี

5. แก้ท้องผูก น้ำผึ้งแท้ใหม่ไม่ค้างปี จะมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ จะแก้อาการท้องผูกในเด็กและคนชราได้เป็นอย่างดี ขนาดที่ใช้ ผู้ใหญ่ 1 ช้อนโต๊ะก่อนนอน เด็กลดลงตามส่วน ถ้าท้องผูกมากและเป็นประจำใช้เม็ดแลลักตากแห้งแช่น้ำอุ่นให้แตกเป็นเมือก ขนาดครึ่งถ้วยแก้วใส่เกลือเล็กน้อย ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กินก่อนนอนเป็นประจำ จะช่วยให้ถ่ายท้องได้สบาย

6. อาการอ่อนเพลีย จากการถ่ายท้องอย่างแรง อาเจียน เป็นลม เหงื่อออกมาก ใช้น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ เกลือ ¼ ช้อนชา น้ำอุ่น 1 ถ้วยแก้ว ดื่มแก้อาการอ่อนเพลียได้เป็นอย่างดี

7. แก้ไอหลอดลมอักเสบ-ขับเสมหะ
ใช้กระเทียม 1-2 กลีบ ตำให้แหลกละเอียด น้ำมะนาว ¼ ลูก เกลือเล็กน้อย พิมเสนหรือการบูร 2-3 เกล็ด น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ผสมเข้าด้วยกัน กินวันละ 3 เวลา หรือเมื่อไอ

8.โรคริดสีดวงทวารและเส้นเลือดขอด มักจะเป็นมากในคนสูงอายุหรือสตรีขณะตั้งครรภ์ใช้กระเทียม
โทน (หัวเดียวมีเม็ดเดียว) ผ่าแบ่ง 4 ส่วน ตามแนวตั้ง ตากแดด 3 วัน ใส่ขวดปากกว้าง ขนาดใช้กระเทียม ½ ขวด เติมน้ำผึ้งจำเต็มขวด แช่ไว้ประมาณ 7 วัน แล้วตักกระเทียม 4 กลีบ น้ำผึ้งผสม 1 ช้อนโต๊ะ กินเช้า-เย็น เป็นประจำจนอาการทุเลาหรือหาย (เส้นเลือดฝอยเปราะแตกง่าย เช่น เลือดกำเดา หรือเลือดออกตามไรฟัน ก็ใช้ตำรับนี้ได้)

9.แก้ความดันโลหิตสูง ในระยะเป็นหรือระยะควบคุม(อาการมักปวดหัวและตึงเบ้าตาเป็นประจำตอนเช้าขณะลืมตาตื่นนอน) ใช้ผงรากระย่อมน้อย ขนาด ¼ - ½ ช้อนชา ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กินวันละ 1 หรือ 2 มื้อ เช้า-เย็น

10.แก้เด็กปัสสาวะรดที่นอน ให้เด็กกินน้ำผึ้ง 6 ช้อนชา โดยไม่ต้องผสมน้ำก่อนเข้านอนเป็นประจำจนอาการหายไป

11.ตับอักเสบ ตับแข็ง เนื่องจากพิษสุราเรื้อรัง หรือดีซ่าน ใช้น้ำผึ้งขนาด ½ - 1 ช้อนโต๊ะ กินวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น

12.รักษาบาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกหรือ ถูกท่อไอเสียของรถ ใช้ผ้าพันแผลที่สะอาดชุบน้ำผึ้งแล้วปิดทับบาดแผลไว้ จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนได้เป็นอย่างดี เปลี่ยนผ้าพันแผลทุก 12 หรือ 24 ชั่วโมงต่อครั้งบาดแผลจะหายอย่างรวดเร็ว
บาดแผลเรื้อรังในคนที่เป็นโรคเบาหวานรักษาด้วยวิธีนี้ได้จะได้ผลเป็นอย่างดีทีเดียว
 

ข้อมูลสื่อ

63-009
นิตยสารหมอชาวบ้าน 63
กรกฎาคม 2527
อาหารสมุนไพร
ภก.วีระพันธ์ ตันติพงษ์