สุขภาพดีในปีใหม่ ดื่มน้ำผลไม้ไทยได้วิตามินสูงค่า
เผลอประเดี๋ยวเดียว...วันคืนก็กำลังจะล่วงผ่านเลยไปอีกปีแล้ว
เดือนธันวาคมต่อเดือนมกราคมเต็มไปด้วยบรรยากาศของงานรื่นเริง การสังสรรค์ระหว่างครอบครัว ญาติสนิทและมิตรสหาย การไปอวยพรผู้หลักผู้ใหญ่ การส่งความสุขความปรารถนาดีให้แก่กันตามธรรมเนียมประเพณีในวาระขึ้นปีใหม่
หลายคนกำลังมองหาของขวัญที่จะนำไปกราบอวยพรท่านผู้ใหญ่หรือญาติมิตรเพื่อนฝูง บางคนนึกถึงสุราต่างประเทศยี่ห้อแพงๆ บุหรี่ซิการ์ชั้นเยี่ยมจากสหรัฐอเมริกา ขนมปังรสเลิศจากฝรั่งเศส หรือผลไม้ราคาแพงจากเมืองนอก เป็นต้นว่า แอปเปิ้ล ลูกท้อ สาลี่ ลูกพลับ
ความจริงนั้น ของขวัญที่ควรจะนำไปกราบอวยพรผู้หลักผู้ใหญ่ หรือนำไปเยี่ยมพรรคพวกเพื่อนฝูง ควรจะเป็นสิ่งที่ช่วยทะนุบำรุงสุขภาพพลามัยให้สมบูรณ์ เพื่อจะได้เผชิญชีวิตในปีใหม่ต่อไปด้วยความราบรื่นและเป็นสุข...ร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนก็ถือว่าเป็นลาภอันประเสริฐ ไม่มีทุกข์ไปหนึ่งอย่างแล้ว มีกำลังใจกำลังความคิดที่จะไปสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อครอบครัว ต่อสังคม และประเทศชาติ
สำหรับคอลัมน์เรื่องน่ารู้ฉบับนี้ “หมอชาวบ้าน” อยากจะชวนเชิญคุณผู้อ่านมาลองทำน้ำผลไม้ดื่มกัน หรือจะเตรียมทำไว้ในงานเลี้ยงสังสรรค์วันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ก็ได้ และที่สำคัญจะเอาไปเป็นของเยี่ยมกราบอวยพรญาติผู้ใหญ่ได้อย่างมีคุณค่าและดียิ่ง ทั้งยังเป็นการสนับสนุนอาชีพชาวสวนผลไม้ของคนไทยเราอีกทางหนึ่งด้วย
รัฐบาลออกข่าวว่าตั้งแต่ปลายปีนี้ไป เศรษฐกิจในประเทศของเราจะฟื้นตัวดีขึ้นกว่าที่แล้วๆมา เพราะฉะนั้นสมควรที่เราประชาชนคนไทยจะช่วยกันซื้อหาสิ่งของที่เป็นผลิตภัณฑ์หรือผลิตผลของคนไทยด้วยกัน ไทยเราจะได้เจริญเหมือนประเทศอื่นๆเสียที ความรู้และเนื้อหาสาระทั้งหมดในคอลัมน์ “เรื่องน่ารู้” ที่เอามาถ่ายทอดสู่คุณผู้อ่าน “หมอชาวบ้าน” ได้รับความกรุณาและความร่วมมืออย่างดียิ่งจากคุณสมชาย ประภาวัต นักวิจัยระดับ 7 อดีตผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์บางเขน กรุงเทพฯ
วิธีทำน้ำผลไม้ง่ายๆที่ได้คุณค่าเอาไว้ดื่มเองหรือเลี้ยงญาติมิตรก็ได้ทั้งนั้น
ในบ้านเมืองเรามีผลไม้มากมายหลายชนิด มีตลอดปีและมีตามฤดูกาลสามารถนำมาทำเป็นน้ำผลไม้ได้แทบทุกชนิด เท่าที่สังเกตมาพบว่า ทุกวันนี้คนไทยเราหันมานิยมดื่มน้ำผลไม้ประเภทน้ำส้มกันมาก เช่น น้ำส้มเขียวหวาน อื่นๆ ก็มีน้ำสับปะรด น้ำมะเขือเทศ น้ำลิ้นจี่ น้ำพุทรา น้ำลำไย น้ำมะขาม เป็นต้น ซึ่งน้ำผลไม้ที่พูดมานี้เราสามารถทำดื่มเองก็ได้ ด้วยวิธีการง่ายๆ
ก่อนอื่นก็เลือกซื้อผลไม้ที่ต้องการนำมาทำน้ำผลไม้จากท้องตลาดหรือจากสวนผลไม้ของเราเอง โดยเลือกผลไม้ที่กำลังสุกพอดี เช่น ส้มเขียวหวาน เลือกเอาผลที่มีคุณภาพดี นำมาล้างให้สะอาด ทำให้สะเด็ดน้ำ แล้วผ่าเป็น 2 ซีก คั้นเอาน้ำส้มออกมา จากนั้นใช้ตะแกรงกรอง ตะแกรงที่นำมากรองควรเป็นตะแกรงสแตนเลสหรือจะใช้ผ้าขาวบางกรองเอาน้ำส้มออกมา
สำหรับผลไม้อื่นๆ เช่น สับปะรด จะต้องปอกเปลือกเอาเฉพาะเนื้อสับปะรด แล้วนำมาปั่นด้วยเครื่องปั่นหลังจากปั่นแล้วก็นำมากรองด้วยผ้าขาวบาง ก็จะได้น้ำสับปะรดสดๆ
ส่วนน้ำมะเขือเทศนั้น ก็ต้องใช้มะเขือเทศที่สุกพอดี มีสีแดงจัด เลือกเอาลูกที่สมบูรณ์ไม่เน่าเสีย นำมาล้างให้สะอาด เอาขั้วออกแล้วนำไปต้มกับน้ำให้นิ่ม จากนั้นนำไปปั่นแล้วจึงกรองด้วยตะแกรงหรือผ้าขาวบาง ก็จะได้น้ำมะเขือเทศสดๆ
ส่วนน้ำผลไม้ที่มีน้ำน้อย เช่น พุทรา มะขาม ลำไยแห้ง จะต้องเติมน้ำลงไปประมาณ 3-4 เท่า แล้วนำไปต้มให้เดือด กรองด้วยผ้าขาวบาง จะได้นำผลไม้ตามต้องการ
เมื่อเรากรองได้น้ำผลไม้ออกมาแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็นำน้ำผลไม้ที่ได้มาเติมน้ำตาล เกลือ หรือกรดมะนาว ปรุงรสตามชอบ ใส่น้ำแข็ง หรือแช่ตู้เย็น ดื่มได้ทันที
สำหรับบางคนอาจจะไม่ถูกกับน้ำผลไม้สดๆ ก่อนจะนำมาดื่มก็นำไปผ่านความร้อนเสียก่อน โดยนำน้ำผลไม้ใส่ลงในภาชนะสแตนเลสแล้วนำลงต้มในน้ำเดือดซึ่งใส่อยู่ในภาชนะอีกใบหนึ่ง สังเกตดูอุณหภูมิของน้ำผลไม้ พอใกล้จะเดือดก็ยกลง (หากให้เดือดคุณค่าของผลไม้อาจเสียไปกับความร้อน) แล้วจึงนำน้ำผลไม้บรรจุใส่ขวดจนเต็มปากขวด หรือภาชนะอื่นๆที่ฆ่าเชื้อแล้ว (การฆ่าเชื้อขวดหรือภาชนะ ทำได้โดยนำขวดหรือภาชนะนั้นมาล้างน้ำให้สะอาดแล้วนำไปนึ่ง โดยคว่ำปากขวดหรือภาชนะลงในหม้อนึ่งหรือลังถึงด้วยไอน้ำประมาณ 10 นาที คือนับจากน้ำเดือดแล้ว) หลังจากนั้นปิดฝาให้แน่น ทิ้งไว้ให้เย็นสักครู่หนึ่งจึงค่อยนำไปเก็บไว้ในตู้เย็น เวลาอยากจะดื่มขึ้นมาก็หยิบมาดื่มได้ทันที
เวลาเก็บควรเก็บไว้ในที่เย็น มืด และแห้ง จะช่วยรักษารสชาติที่สด สีและวิตามินได้มากกว่าเก็บไว้ที่มีอุณหภูมิสูง ควรเก็บไว้ที่อุณหภูมิประมาณ 0-5 องศาเซลเซียส อายุการเก็บรักษาและคุณค่าทางโภชนาการจะยืนยาวตลอดไปการสูญเสียทางด้านรสชาติที่สด สี และวิตามินจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากถ้าหากเก็บไว้ในอุณหภูมิที่สูงกว่า 21 องศาเซลเซียส
คุณค่าที่ได้จากน้ำผลไม้
น้ำผลไม้ ประกอบไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ ซึ่งมีความสำคัญยิ่งต่อร่างกายของมนุษย์ทั้งในยามเจ็บป่วยและยามปกติ วิตามินที่สำคัญในน้ำผลไม้ ก็คือ วิตามินซี และแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้นกำเนิดของวิตามินเอและยังมีแร่ธาตุต่างๆที่มีคุณค่าต่อสุขภาพ
วิตามินเอนั้นมีประโยชน์ในการบำรุงสายตา ฟัน กระดูก ผม ผิว และเนื้อเยื่ออ่อน ช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย ทำให้ผิวนุ่มและเกลี้ยงเกลา ต้านการติดเชื้อโรค
สำหรับวิตามินซี ซึ่งเป็นวิตามินที่มีมากในผลไม้เกือบทุกชนิด ถือเป็นยาปฏิชีวนะจากธรรมชาติ ช่วยในการรักษาเหงือก ฟัน กระดูก หน้าที่สำคัญคือ ช่วยร่างกายสร้างโคลเลเจน เป็นกาวที่จะยึดเซลล์ การกินวิตามินซีจะทำให้ผิวสวย เล็บสวย เหงือกและเลือดดี นอกจากนี้ยังเพิ่มความต้านทานต่อโรค ทำให้แผลหายเร็ว ไม่เกิดการแพ้ง่ายๆ นักโภชนาการว่า การกินวิตามินซีกับวิตามินเอ จะทำให้หวัดหายเร็วขึ้น (วิตามินซี 2,000-3,000 มิลลิกรัมต่อวัน) มีรายงานวิจัยว่าอาจช่วยป้องกันมะเร็งได้และนอกจากนี้แล้วในน้ำผลไม้ทุกชนิดยังอุดมไปด้วยธาตุโปแตสเซียม ธาตุอื่นๆที่มีในปริมาณเล็กน้อย คือ โซเดียม แคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม และที่มีบ้างคือ ไอโอดีน ฟลูออรีน ทองแดง แมงกานีส เป็นต้น
คุณภาพของน้ำผลไม้ในท้องตลาด
ในการเลือกซื้อน้ำผลไม้ให้ได้คุณภาพ สะอาด และปลอดภัยต่อการบริโภคนั้น ก็ควรเลือกน้ำผลไม้ที่ได้รับการรับรองคุณภาพจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสังเกตจากเครื่องหมายมาตรฐานที่แสดงไว้ภาชนะที่บรรจุน้ำผลไม้ จะต้องมีฉลากปิดไว้ให้เห็นได้ง่ายและชัดเจน โดยแจ้งชื่อผลิตภัณฑ์ รายชื่อของส่วนประกอบและวัตถุเจือปนในอาหาร ปริมาตรที่บรรจุ เลข อักษร หรือรหัสแสดงครั้งที่ทำ สถานที่ผลิตและตำบลที่ตั้ง เลขทะเบียนอาหารของกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น หากไม่มีฉลากไม่ควรซื้อมาดื่ม
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ดีที่สุดคือการทำน้ำผลไม้เอาไว้ดื่มเอง (หรือทำบรรจุใส่ขวดไว้) สามารถทำได้ง่ายในบ้านของเราเป็นการประหยัดโดยไม่จำเป็นต้องไปซื้อหามาจากท้องตลาดด้วยราคาแพง และเรายังมั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัย นอกจากนี้แล้วเรายังสามารถใช้รับรองแขกและอาจทำเป็นอุตสาหกรรมภายในครอบครัว เพื่อช่วยผยุงเศรษฐกิจในครอบครัวได้อย่างดีทีเดียว
ถ้าคุณผู้อ่านสนใจ และอยากได้รายละเอียดเพิ่มเติมมากกว่านี้ ก็ขอเชิญติดต่อขอคำปรึกษาได้ที่สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ในวันและเวลาราชการ
อย่าลืมนะคะ...หมอชาวบ้านขออวยพรให้ท่านผู้อ่าน สุขภาพดีในปีใหม่ และหันมาดื่มน้ำผลไม้ไทยกัน ได้ทั้งวิตามินสูงค่า และยังช่วยพี่น้องชาวไร่ ชาวสวนของเรา เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจของชาติอีกด้วย
รักชาติต้องช่วยกันดื่มน้ำผลไม้ไทยนะคะ
ฤดูเก็บเกี่ยวของผลไม้ชนิดต่างๆในประเทศไทย
ชนิดของผลไม้ ฤดูเก็บเกี่ยว | ||
กระท้อน | พฤษภาคม | มิถุนายน |
กล้วย | ตลอดปี | |
ขนุน | ตลอดปี | |
เงาะ | ||
จำปาดะ | กันยายน | ธันวาคม |
จาก | ตลอดปี | |
ชมพู่ | มิถุนายน | กันยายน |
ทุเรียน | พฤษภาคม (ภาคเหนือและภาคกลาง) สิงหาคม (ภาคใต้) | มิถุนายน ตุลาคม |
ทุเรียนเทศ | มิถุนายน | กันยายน |
ทับทิม | สิงหาคม | กุมภาพันธ์ |
น้อยหน่า | สิงหาคม (รุ่นแรก) ตุลาคม (รุ่นที่สอง) | กันยายน พฤศจิกายน |
น้อยโหน่ง | ตลอดปี | |
ฝรั่ง | สิงหาคม (ภาคกลาง) มิถุนายน (ภาคอีสาน) | กันยายน สิงหาคม |
พุทรา | กันยายน | เมษายน |
มะกอกฝรั่ง | ธันวาคม | เมษายน |
มะขาม | มกราคม | กุมภาพันธ์ |
มะนาว | กุมภาพันธ์ | เมษายน |
มะปราง | มีนาคม | เมษายน |
มะพร้าว | ตลอดปี | |
มะเฟือง | ตลอดปี | |
มะม่วง | มกราคม (ภาคเหนือ) เมษายน (ภาคกลาง) | มิถุนายน พฤษภาคม |
มะม่วงหิมพานต์ | ||
มะยม | มิถุนายน | |
มะละกอ | ตลอดปี | |
มังคุด | พฤษภาคม (ภาคกลาง) กรกฎาคม (ภาคใต้) | มิถุนายน สิงหาคม |
ละมุด | ตลอดปี | |
ลางสาด | กันยายน | |
ลำไย | มิถุนายน (ภาคเหนือและภาคอีสาน) พฤษภาคม (ภาคกลาง) | สิงหาคม มิถุนายน |
ลิ้นจี่ | เมษายน | พฤษภาคม |
ส้มเขียวหวาน | ตุลาคม | พฤศจิกายน |
ตุลาคม | มกราคม | |
ส้มโอ | กันยายน (ภาคเหนือ) สิงหาคม (ภาคกลาง) พฤษภาคม (ภาคอีสาน) | ตุลาคม ตุลาคม มิถุนายน |
ส้มแก้ว | ตุลาคม | พฤศจิกายน |
ส้มเกลี้ยง | สิงหาคม | กันยายน |
ส้มซ่า | สิงหาคม | กันยายน |
สาเก | เมษายน | พฤษภาคม |
สับปะรด | ตลอดปี | |
องุ่น | กันยายน | มีนาคม |
ท้อ | พฤษภาคม (ภาคเหนือ) | มิถุนายน |
พลับ | สิงหาคม (ภาคเหนือ) | กันยายน |
สาลี่ | มิถุนายน (ภาคเหนือ) | มีนาคม |
แอปเปิ้ล | พฤษภาคม (ภาคเหนือ) | มิถุนายน |
ลูกเนย | พฤศจิกายน (ภาคเหนือ) | |
โลควอท | สิงหาคม (ภาคเหนือ) | |
มาคาเดเมียนัท | สิงหาคม (ภาคเหนือ) กันยายน (ภาคเหนือ) |
*หมายเหตุ – ข้อมูลได้จากสาขาไม้ผล กองพืชสวน กรมวิชาการเกษตร
รู้จักกับสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ |
“หมอชาวบ้าน” อยากแนะนำให้คุณผู้อ่านได้รู้จักกับความเป็นมาของสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารพอเป็นสังเขป ซึ่งคุณสมชายอธิบายสรุปให้ฟังว่า สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร เรียกย่อๆว่า สถาบันอาหาร เป็นหน่วยงานหนึ่งเทียบเท่าคณะ สังกัดมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แต่เดิมหน่วยงานนี้เป็นหน่วยงานหนึ่งขององค์กรผลิตอาหารสำเร็จรูป (อสร.) สังกัดกระทรวงกลาโหม ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2500 ภายหลังโอนมาสังกัดมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในปี
พ.ศ.2511
วัตถุประสงค์ของสถาบันอาหารก็เพื่อทำการศึกษา ค้นคว้าและวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร ในการนี้จะนำผลิตผลทางเกษตรหรือผลพลอยได้จากการเกษตรมาทำเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร ในแง่ของการปรับปรุงเศรษฐกิจ ยกระดับคุณค่าชีวิตในด้านโภชนาการ ปรับปรุงอาหารที่บริโภคกันแต่เดิมให้มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีราคาถูก ตลอดจนถ่ายทอดผลงานสู่ประชาชน ส่งเสริมให้การศึกษาและค้นคว้าหากรรมวิธีที่จะนำผลผลิตทางเกษตรกรรมเข้าสู่อุตสาหกรรมอาหารสำเร็จรูปและกึ่งสำเร็จรูป เพื่อให้เกิดผลดีในทางเศรษฐกิจ ทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ดีขึ้น และมีพลานามัยสมบูรณ์
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของสถาบันอาหารที่นำออกมาสู่ตลาด ได้แก่ผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนราคาถูก เช่น นมถั่วเหลืองบรรจุกระป๋อง กรอบกรอบเกษตร (อาหารว่างโปรตีนสูง) คุกกี้เกษตร (ขนมผิงเกษตร) บะหมี่เกษตรอบแห้ง โปรตีนเกษตร นอกจากนี้ก็มีไวน์ผลไม้ต่างๆ น้ำส้มสายชู น้ำส้มเขียวหวานเข้มข้น น้ำพุทราเข้มข้น น้ำ
- อ่าน 5,136 ครั้ง
- พิมพ์หน้านี้