• ขนาดตัวอักษร  Normal size text | Increase text size by 10% | Increase text size by 20% | Increase text size by 30%

30 คำถาม – คำตอบเกี่ยวกับไข้สุกใส

30 คำถาม – คำตอบเกี่ยวกับไข้สุกใส

ฤดูร้อนกำลังจะผ่านไป ซึ่งเป็นฤดูที่ไข้สุกใสระบาดได้มากกว่าฤดูอื่น และมีผู้ที่ถามถึงเรื่องนี้เข้ามามากมายทีเดียว หมอชาวบ้านจึงขอเชิญคุณหมออำนาจ บาลี ให้มาไขข้อข้องใจดังกล่าว ซึ่งจะเสนอในลักษณะเป็นคำถามและคำตอบ โดยได้รวบรวมคำถามเกี่ยวกับไข้สุกใสที่คนนิยมถามกันเข้ามา
ไข้สุกใส เป็นโรคติดเชื้อชนิดหนึ่งที่มีลักษณะอาการออกตุ่มตามผิวหนัง อาจจะมีอาการไข้ต่ำๆบ้าง

1. ไข้สุกใสเกิดจากเชื้ออะไร
ไข้สุกใส เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า วาริเซลลาซอสเดอร์ (วี-แซด) ไวรัส
2. มักจะเกิดในคนอายุประมาณเท่าใด
เกิดได้ในคนทุกอายุ ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 90 ปี แต่พบบ่อยในเด็กระหว่าง 2-10 ปี และไม่เลือกเพศหญิงหรือชาย เชื้อชาติ ศาสนา มีโอกาสเป็นได้เท่าๆกัน ทั่วโลก
3. ติดต่อได้อย่างไร
เชื้อโรคสุกใสนี้ ติดต่อกันได้ง่ายมากแค่การสัมผัส หากเชื้อติดไม้ติดมือผู้สัมผัสแล้วไปแตะต้องเอาเยื่อบุ เช่น ปาก จมูก เชื้อไวรัสสุกใสก็เข้าไปทางนั้น
4. ติดทางระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ จาม รดกันได้หรือไม่
มีผู้กล่าวถึงเรื่องนี้มาก แต่โอกาสติดต่อทางนี้น้อยมาก บางคนว่าไม่ติดทางระบบนี้เลย
5. แม่ที่ตั้งครรภ์และเป็นไข้สุกใส เชื้อจะติดต่อถึงลูกได้หรือไม่
คนตั้งครรภ์เมื่อเป็นไข้สุกใส เชื้อไวรัสจะผ่านไปสู่ลูกได้
6. เด็กที่เกิดจากแม่ตั้งครรภ์ที่เป็นไข้สุกใส จะมีปัญหาหรือไม่
มีครับ หากแม่เป็นช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ เด็กอาจมีความพิการที่มือ แขน เช่น มือ เท้าเล็ก หรือสมองพิการได้
ถ้าแม่เป็นก่อนคลอด 5 วัน หรือหลังคลอด 2 วัน เด็กอาจมีอาการรุนแรง และอาจถึงตายได้
แต่ถ้าแม่เป็นก่อนคลอด 5 วัน หรือหลังคลอด 2 วัน เด็กอาจมีอาการรุนแรง และอาจถึงตายได้
แต่ถ้าแม่เป็นก่อนคลอดมากกว่า 5 วัน หรือหลังคลอดแล้ว 3-4 วัน ไม่ต้องกลัวอันตรายจะเกิดกับเด็กแรกเกิด
ดังนั้น แม่ที่ตั้งครรภ์จึงควรไปฝากครรภ์ เพื่อจะได้ตรวจร่างกายหาความผิดปกติเป็นระยะ
7. หลังจากที่ไปสัมผัสกับคนเป็นไข้สุกใสแล้วนานมั้ยกว่าจะเกิดอาการ
โดยทั่วไป ราวๆ 11-20 วัน เรียกว่า ระยะฟักตัว โดยเฉลี่ยประมาณ 2 สัปดาห์
8. ติดต่อกันได้ระยะไหนของโรค
ติดต่อกันได้ในช่วงที่มีตุ่มพุพองใสๆครับ
9. คนเป็นไข้สุกใสไปแล้วครั้งหนึ่ง จะเป็นได้อีกหรือไม่
โดยทั่วไปเราเชื่อกันว่า คนเป็นครั้งหนึ่งจะไม่เป็นอีกตลอดชีวิต พูดง่ายๆ คือมีภูมิคุ้มกันโรคนี้ตลอดไป มีเหมือนกันที่เป็นได้อีกครั้ง แต่นานที่จะพบได้
10. คนที่เป็นไข้สุกใสหายใหม่ๆ แล้วกลับเป็นได้อีกมั้ย
มีบ้างเป็นครั้งคราวเหมือนกัน ที่คนเพิ่งจะหายจากโรคแล้วกลับมาเป็นซ้ำอีก แต่พบไม่บ่อย
11. มีอาการอย่างไรบ้าง
อย่างที่ทราบๆกัน คือ ตุ่มสุกใสจะเริ่มเกิดที่หนังศีรษะ หน้าและลำตัวก่อน จากนั้นไม่นาน ตุ่มก็จะลามทั่วตัว จากตุ่มแดงๆ เรียบ เป็นตุ่มพองใส มีน้ำเหลือง อาจจะมีสีแดงรอบๆ และต่อมาจะแห้งตกสะเก็ดสีดำ จะดูบุ๋มไปเล็กน้อย อย่าแกะหรือแตะต้องเป็นอันขาด
12. นานมั้ยสะเก็ดถึงจะหลุดลอกหมด
ใช้เวลา 5-20 วัน แล้วแต่ว่าตุ่มสุกใสกินผิวหนังลึกมากน้อยแค่ไหน
13. ตั้งแต่เริ่มมีตุ่มขึ้น จนตกสะเก็ด ใช้เวลานานแค่ไหน
ราวๆ 1 สัปดาห์ และใช้เวลา 3-5 วันก็ลามทั่วตัว
14. มีอาการอย่างอื่นร่วมด้วยหรือไม่ เช่น มีไข้
มีบ้างเป็นบางราย อาจมีไข้ต่ำๆ น้อยรายที่จะมีไข้สูง ซึ่งพบในรายที่มีอาการรุนแรง
15. ตุ่มจะขึ้นได้ที่ไหนบ้าง
ขึ้นได้ทั่วตัว แม้แต่ในปาก เยื่อบุผิวต่างๆ รูหู รูจมูก อวัยวะเพศ เพดานปาก
16. บางคนมีอาการไอร่วมด้วยจริงหรือไม่
จริง บางรายอาจมีอาการไอ หอบ รุนแรงขนาดไอเป็นเลือด หรือตัวเขียวก็มี เกิดเพราะเป็นปอดบวมเนื่องจากเชื้อไวรัสสุกใส
17. ไข้สุกใสเป็นโรคที่รุนแรงหรือไม่
โดยทั่วไปแล้ว คนเป็นไข้สุกใสมีอาการไม่รุนแรงเลย น้อยมากที่จะพบว่ามีปัญหาเรื่องปอดบวม กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ตับอักเสบ ไตอักเสบ หรือมีอาการทางเลือดออกง่าย
18. ทราบได้อย่างไรว่าเป็นไข้สุกใส
คำถามนี้น่าสนใจ อย่างที่เรียนให้ทราบแต่ต้นแล้วว่า บางทีก็ดูยาก เพราะอาจมีไข้ 1-2 วันแล้วมีตุ่มขึ้น อาจจะเริ่มที่หน้า หรือตามตัว หรือที่หนังศีรษะอาจจะมาด้วยอาการเจ็บปาก เพราะตุ่มขึ้นในปาก
พูดง่ายๆคือ ก็ต้องดูลักษณะตุ่มเป็นเกณฑ์ หรือยิ่งเคยสัมผัสหรือใกล้ชิดผู้ที่เป็นไข้สุกใสมาก่อน ประมาณ 3-5 สัปดาห์ ก็ยิ่งจะง่ายขึ้น
19. เมื่อเป็นแล้วมีโรคแทรกซ้อนได้มั้ย
มีได้แต่พบได้ไม่ง่ายนัก เช่น มีการติดเชื้อ ตุ่มเป็นหนองอักเสบชนิดที่เป็นมาก เชื้อเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้เกิดข้ออักเสบ ยิ่งไม่ค่อยพบหรืออาการทางสมองยิ่งหายาก (อ่านในข้อ 17 เพิ่มเติม)
20. ทราบว่าคนที่เป็นโรคบางโรคอยู่แล้ว หากติดเชื้อสุกใสจะเป็นอันตรายมากขึ้นจริงหรือไม่
จริงครับ เช่น พวกโรคไต โรคมะเร็ง ที่ได้รับยาพวกสตีรอยด์ หรือยากดภูมิต้านทานอยู่ หากติดเชื้อไวรัสสุกใสอาจรุนแรงถึงตายได้
21. ระหว่างมีตุ่มสุกใส อาบน้ำได้มั้ย
อาบได้ ใช้สบู่ฆ่าเชื้ออ่อนๆก็ได้ แต่ระวังอย่าให้ตุ่มแตกก็แล้วกัน
22.ตุ่มแตกแล้วมีปัญหาอะไรหรือไม่
เมื่อเราทำให้ตุ่มสุกใสแตก มีโอกาสติดเชื้อได้ พูดง่ายๆก็คือ เปิดช่องให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ก็จะยุ่งยากอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะรักษา
23. หายแล้วมีโอกาสเป็นแผลเป็นมากน้อยแค่ไหน
แต่ทั่วไปแล้วคนเป็นไข้สุกใส เมื่อหายแล้วมักจะหายเลย ไม่มีแผลเป็นหรืออะไรเหลือไว้เป็นหลักฐาน นอกเสียว่าไปแกะ สะกิดสะเกา ติดเชื้อเกิดการอักเสบเป็นหนองขึ้นนั่นแหละ มีโอกาสเป็นแผลเป็นได้ ถ้ามีแผลเป็นปรึกษาหมอโรคผิวหนังจะช่วยคุณได้
24. มียาทายากินรักษาหรือไม่
ตอนเป็นตุ่มหรือมีไข้ รักษาตามอาการ มีไข้อาจใช้ยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล ห้ามใช้ยาพวกแอสไพริน
ถ้ารู้สึกคันตุ่ม ก็ใช้พวกคาลาไมด์ทาหรือกินยาพวกแอนตี้ฮิสตามีนจะช่วยลดความคันได้
มียาฆ่าไวรัสขายตามท้องตลาดสำหรับทายังไม่มีใครทดลองใช้ว่าได้ผลหรือไม่แค่ไหน เพียงไร แต่คิดว่าไม่คุ้ม เพราะหลอดหนึ่งแพงมากคือ ประมาณ 3-4 ร้อยบาท ไม่ทาอะไรก็หายเองอยู่แล้ว
ในต่างประเทศมีการทดลองใช้ยาฆ่าไวรัสอย่างกิน ก็ไม่ได้ผลดีไปกว่าการไม่รักษาหรือใช้ยาหลอกๆเลย
25. มีของแสลงสำหรับคนเป็นไข้สุกใสหรือไม่

ไม่มี กินได้ทุกอย่าง กินอะไรได้ก็กินเถอะ ไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นแผลเป็น หรือเป็นหนอง
26. ควรให้เด็กหยุดโรงเรียนหรือไม่
แน่นอนครับ ควรให้หยุดโรงเรียนจนกว่าตุ่มจะแห้ง จนตกสะเก็ดดำ แต่ต้องดูให้แน่ อาจจะมีตุ่มใสๆเหลืออยู่ก็อย่าเพิ่งส่งไปโรงเรียน เกรงจะเอาเชื้อโรคสุกใสไปแพร่ให้กับเพื่อน พลอยเดือดร้อนกันไปหมด
27. วิธีป้องกันทำอย่างไร
ง่ายนิดเดียว ตอบแบบกำปั้นทุบดิน ก็คืออย่าใกล้หรือสัมผัสกับคนเป็นไข้สุกใส
28. ทราบว่ามีวัคซีนป้องกันไข้สุกใสได้
มีครับ มีวัคซีนป้องกันไข้สุกใสแต่แพงมาก มีใช้เฉพาะในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา และไม่ใช้สำหรับคนทั่วไป แต่ใช้สำหรับผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น คนเป็นโรคมะเร็ง คนเป็นโรคไต หรือโรคเลือดที่กำลังใช้ยาสตีรอยด์หรือยากดภูมิต้านทานหรือยารักษาโรคนั้นๆ แล้วไปสัมผัสกับคนเป็นไข้สุกใส จึงจะใช้วัคซีนป้องกันสุกใส
29. ถ้าข้างบ้านเป็น ควรจะให้พาลูกเล็กๆไปติดเสียเลยจะดีมั้ย
ดีแน่นอน แต่ควรจะเป็นเด็กประมาณ 5-10 ขวบ จะเหมาะที่สุด เพราะพูดพอจะรู้เรื่อง จะได้ไม่แกะตุ่มให้เดือดร้อน แต่ต้องดูด้วยนะครับอย่าให้ติดตอนใกล้เวลาสอบเดี๋ยวยุ่งยาก
30. รอให้เป็นไข้สุกใสตอนโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจะไม่ดีกว่าหรือ
ไม่ดีกว่าแน่ เพราะเป็นตอนผู้ใหญ่ อาการมักจะหนักกว่าตอนเป็นเด็ก เคยอ่านข่าวดาราดังผู้หนึ่งต้องเข้าโรงพยาบาล ต้องหยอดข้าวหยอดน้ำ ให้น้ำเกลือกันวุ่นวาย เห็นแล้วไม่ใช่หรือว่าเป็นตอนโตไม่ดีอย่างไร (แต่ดีหน่อยตรงที่ว่า เป็นดาราแล้วขึ้นหน้าปกหนังสือพิมพ์รายวัน คิดว่าตัวเราคงจะไม่เลือกวิธีนี้แน่)
คงจะพอสำหรับ 30 คำถามเกี่ยวกับไข้สุกใส อันเป็นโรคสามัญประจำบ้าน ที่เป็นเองหายได้เองโดยไม่ต้องเปลืองเงินทองไปหาแพทย์เลย หากเรารู้จักรักษาตัว กินยาตามอาการและทำความเข้าใจกับโรคอย่างถ่องแท้


หากท่านมีข้อข้องใจเกี่ยวกับโรคใด และอยากรู้ให้กระจ่างก็เชิญเขียนเข้ามาถามได้เลยครับ

 

 

 

ข้อมูลสื่อ

182-008
นิตยสารหมอชาวบ้าน 182
มิถุนายน 2537
โรคน่ารู้
นพ.อำนาจ บาลี